xs
xsm
sm
md
lg

จีเอ็ม ร่วมฮอนด้า สานต่อเทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับใน "ครูซ"

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


จากข่าวทั่วโลก เมื่อเร็วๆ นี้ ระบุว่า จีเอ็มและฝ่ายผลิตรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติของ “ครูซ ออโตเมชั่น” ผู้พัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับ ประกาศร่วมมือกับ ฮอนด้า สานต่อการพัฒนาเทคโนโลยีขับเคลื่อนยานยนต์ด้วยระบบอัตโนมัติ โดยฮอนด้า ได้ลงทุนและพัฒนายานยนต์ไร้คนขับสำหรับ “ครูซ” สำหรับการใช้งานทั่วโลก ด้วยงบลงทุนกว่า 2.75 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเพิ่มการลงทุนกว่า 2.75 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากนักลงทุนในกองทุนวิชั่นฟันด์ของซอฟท์แบงค์ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา

จากความร่วมมือและการระดมทุนครั้งสำคัญนี้ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับจีเอ็ม ในฐานะเป็นผู้นำเทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับ โดยมีแผนที่จะเปิดตัวยานยนต์ไร้คนขับ ในปี 2562 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในวิสัยทัศน์ของการพัฒนายานยนต์ในอนาคต เพื่อต้องการทำให้อุบัติเหตุเป็นศูนย์ ไร้มลพิษ และปราศจากความแออัด


จีเอ็ม ได้นำเอาเทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับเข้าสู่ประเทศไทยแล้ว ในรูปแบบรถลำเลียงขนส่งชิ้นส่วนอัตโนมัติ หรือ Autonomous guided vehicles (AGV) เราเรียกรถดังกล่าวว่า “บัมเบิลบี” เป็นรถพลังงานไฟฟ้าขนาดเล็กที่มีระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ ทำหน้าที่ส่งชิ้นส่วนและส่วนประกอบไปยังสายการผลิตของ เชฟโรเลต โคโลราโด และ เทรลเบลเซอร์ ที่ศูนย์การผลิตของจีเอ็ม ประเทศไทย ในระยอง รถลำเลียงขนส่งชิ้นส่วนอัตโนมัตินี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการขนส่งชิ้นส่วนไปยังสายการผลิต


ด้วยเรื่องของนวัตกรรมและเทคโนโลยีจากดีทรอยต์สู่ศูนย์การผลิตในจังหวัดระยอง เทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของการสร้างนวัตกรรมและความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ก้าวล้ำของจีเอ็มในระยะเวลา 100 ปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกนำมาใช้ในรถยนต์ของเชฟโรเลต เราลองมาย้อนความทรงจำถึงเหตุการณ์ในอดีตกันว่า ไฮไลต์สำคัญของจีเอ็มและเชฟโรเลตนั้นมีอะไรบ้าง

5 เรื่อง น่ารู้เกี่ยวกับจีเอ็ม

1.ผู้พัฒนาด้านเซลส์เชื้อเพลิง (Fuel Cell) : ความร่วมมือในการพัฒนายานยนต์ไร้คนขับระหว่างจีเอ็มและฮอนด้า เกิดขึ้นเมื่อ ปี 2533 ทั้งสองบริษัทได้ร่วมมือกันพัฒนารถยนต์หลากหลายรุ่นและคิดค้นเทคโนโลยีต่างๆ ร่วมกัน เมื่อมิถุนายนที่ผ่านมา ได้ลงนามข้อตกลงในการพัฒนาแบตเตอรี่สำหรับรถพลังงานไฟฟ้า โดยจัดตั้งบริษัทร่วมทุน เพื่อผลิตระบบเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนชั้นสูงในอุตสาหกรรมยานยนต์ คาดว่าจะเริ่มผลิตในปี 2563

2.ผู้คิดค้นรถพลังงานไฟฟ้า : ความสำเร็จของจีเอ็มด้านรถพลังงานไฟฟ้าสามารถเห็นได้จากเชฟโรเลต โบลต์ และ โวลต์ รถพลังงานไฟฟ้ารุ่นแรก ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อหลายปีก่อน ในปี 2539 – ปี 2542 จีเอ็มได้ออกแบบและผลิตรถพลังงานไฟฟ้ายุคใหม่ รุ่น EV1 ซึ่งเป็นรถไฟฟ้ารุ่นแรกที่ผลิตจำนวนมากโดยผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ EV1 เป็นรถพลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกที่ได้รับการออกแบบให้เป็นรถขนาดเล็กที่เป็นรถโดยสารคันแรกและรุ่นเดียวที่จะวางขายในตลาด ภายใต้แบรนด์จีเอ็ม แทนที่จะตีตราแบรนด์อื่น


3.ผู้บุกเบิกสนามทดสอบรถยนต์ : จีเอ็มเป็นบริษัทรถรายแรกที่สร้างสนามทดสอบรถยนต์ ในปี 2467 โดยตั้งอยู่ที่เมืองมิลฟอร์ด รัฐมิชิแกน มีขนาดพื้นที่ 16 ตารางกิโลเมตร มีเส้นทางทดสอบรถความยาวกว่า 212 กิโลเมตร เพื่อใช้ทดสอบการขับขี่ในรูปแบบต่างๆ รถทุกคันของจีเอ็มจากทุกตลาดทั่วโลก จะต้องผ่านการทดสอบในสนามทดสอบรถยนต์แห่งนี้ และช่วงหลายปีที่ผ่านมา จีเอ็มได้เปิดสนามทดสอบรถหลายแห่งในทวีปอเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ยุโรป ออสเตรเลีย และจีน ทั้งยังคงเปิดดำเนินการอยู่ถึงทุกวันนี้

4.ผู้นำด้านความปลอดภัย : การออกแบบหุ่นจำลองทดสอบการชนรุ่นแรกๆ ของจีเอ็ม กลายเป็นตัวกำหนดมาตรฐานให้อุตสาหกรรมรถยนต์สำหรับงานวิจัยเพื่อความปลอดภัยในการชน ทุกวันนี้จีเอ็มใช้หุ่นจำลองในทุกรูปแบบและทุกขนาดภายในห้องปฏิบัติการทดสอบความปลอดภัย โดยแต่ละตัวมีเซ็นเซอร์ 70-80 ตัว ที่คอยจับการเคลื่อนไหว และส่งข้อมูลการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นถึง 10,000 ครั้งต่อวินาที เพื่อตรวจจับความแรงและประเภทของความรุนแรงในระหว่างการชน ทีมวิศวกรจะศึกษาข้อมูลจากทั้งการทดสอบทางกายภาพ และการจำลองแบบโดยคอมพิวเตอร์ เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับการผลิตรถยรุ่นใหม่ ระบบความปลอดภัยและการตอบสนองของผู้โดยสารเมื่อเกิดการชน จากนั้นจึงนำข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ไปใช้ในการพัฒนารถยนต์ต่อไป

5.ผู้สร้างสรรค์ระบบการสื่อสารในรถยนต์ : ก่อนที่สมาร์ทโฟนและแอพพลิเคชั่นจะช่วยให้ผู้บริโภคเชื่อมต่อกับศูนย์บริการคอลล์ เซ็นเตอร์ จีเอ็มพัฒนาระบบออน์สตาร์ ซึ่งเป็นระบบสั่งงานด้วยเสียงแบบแฮนด์ฟรีในรถยนต์เป็นรายแรกของโลก ในปี 2539 เทคโนโลยีออนสตาร์จะใช้ตำแหน่งและการสื่อสารผ่านดาวเทียมทั่วโลก เพื่อเชื่อมการติดต่อระหว่างผู้ขับขี่รถยนต์กับเจ้าหน้าที่ของออนสตาร์ เพื่อให้คำปรึกษาตั้งแต่เส้นทางการขับขี่ไปจนถึงการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง

5 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับเชฟโรเลต

1.หลุยส์ ตำนานเชฟโรเลต: หลุยส์ เชฟโรเลต เกิดที่สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อปี 2454 เขาเป็นนักแข่งรถและวิศวกร หลุยส์ได้ร่วมกับวิลเลียม บิลลี่ ซี ดูแรนท์ ก่อตั้งเชฟโรเลต บริษัทผลิตรถในสหรัฐอเมริกา และเริ่มผลิตรถรุ่นแรก เมื่อปี 2455 โดยเริ่มจากแชส์ซีส์ C คลาสสิก ซิกส์ ซึ่งเป็นรถหรูที่มีเครื่องยนต์สมรรถนะสูงหกสูบ ตามด้วยรุ่น Model H ที่จับต้องได้ง่ายขึ้น ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สี่สูบที่มีความทนทาน ซึ่งสร้างชื่อเสียงให้กับเชฟโรเลตในฐานะรถที่สามารถไว้วางใจได้ ช่วงปลายปี 2456 หลุยส์ได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองอินเดียแนโพลิส เพื่อมุ่งเน้นไปที่การแข่งรถ ซึ่งเขาและพี่น้องได้กลายเป็นตำนานของการแข่งขันอินเดียแนโพลิส 500

2.เดินหน้าผลิตรถกระบะอย่างต่อเนื่อง : เมื่อ 100 ปีที่ผ่านมา เชฟโรเลตผลิตรถกระบะคันแรก คือ แชส์ซีส์ซีรีส์ 490 ไลท์ เดลิเวอรี่ และขายในราคาเพียง 595 ดอลลาร์สหรัฐ รถกระบะรุ่นดังกล่าว คือ จุดเริ่มต้นของตำนานรถกระบะเชฟโรเลตที่แข็งแกร่งซึ่งสานต่อมาจนถึงปัจจุบัน จากรถกระบะโรดสเตอร์ ปี 1930 จนมาถึงรถกระบะแอดวานซ์ ดีไซน์ ซีรีส์ ปี 1947-1955 รถกระบะทาสก์ฟอร์ซ ปี 1955-1959 รถกระบะซี/ เค ซีรี่ส์ ปี 1960-1999 และรถกระบะซิลเวอร์ราโดและโคโลราโด รุ่นปัจจุบัน เชฟโรเลตได้จำหน่ายรถกระบะไปทั่วโลกมากกว่าหลายล้านคัน โดยศูนย์การผลิตของจีเอ็ม ประเทศไทย ได้ผลิตรถกระบะโคโลราโด 481,402 คัน เพื่อจำหน่ายในไทยและส่งออกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่ปี 2546

3.ต้นกำเนิดของรถอเนกประสงค์ : กลุ่มรถที่ขายดีที่สุดในอุตสาหกรรมยานยนต์ คือ รถอเนกประสงค์ หรือ Sport Utility Vehicle (SUV) ซึ่งมีจุดเริ่มต้นเมื่อปี 2478 เมื่อเชฟโรเลตได้เปิดตัวรถอเนกประสงค์รุ่นซับเบอร์แบน แคร์รี่ออล ซึ่งเป็นรถขนาดแปดที่นั่ง สร้างจากโครงตัวถังรถขนาดครึ่งตัน ด้วยราคา 675 ดอลลาร์สหรัฐ โดยราคานี้ไม่รวมเครื่องทำความร้อน และกันชนด้านหลังรถ รถอเนกประสงค์คันแรกของโลกแทบจะไม่เหมือนกับรถอเนกประสงค์สำหรับครอบครัวในปัจจุบัน ที่มาพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกแบบครบครันอย่างรถอเนกประสงค์ เทรลเบลเซอร์ ที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศไทย

4.จากสนามแข่งสู่ถนนจริง : เชฟโรเลตมีชื่อเสียงทั้งในด้านสมรรถนะของรถยนต์ เช่น คอร์เวตต์ที่ดูโฉบเฉี่ยว และคามาโรที่มีความแข็งแกร่ง (รุ่นเดียวกับ “บัมเบิลบี” หุ่นจักรกลจากภาพยนตร์ทรานส์ฟอร์มเมอร์ส) รวมถึงความสำเร็จในการแข่งรถ การมีส่วนร่วมในการแข่งรถหรือมอเตอร์สปอร์ตของเชฟโรเลต ทำให้มีการ “ถ่ายทอดเทคโนโลยี” จากรถที่ใช้ในสนามแข่งไปยังรถที่ผลิตเพื่อการใช้งานทั่วไป ความก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยีการผลิตเครื่องยนต์หรือเพาเวอร์เทรน พลังงานลมและหลักการของอากาศพลศาสตร์ และยานยนต์ที่มีน้ำหนักเบา ล้วนเป็นเทคโนโลยีที่มาจากรถแข่งทั้งนั้น ก่อนที่จะถูกนำมาใช้ในการผลิตรถยนต์สำหรับวิ่งบนถนนจริง

5.มีมาตรฐานสูงด้านเทคนิค : ผู้จัดจำหน่ายรถเชฟโรเลตทั่วโลก รวมถึงไทย มีช่างเทคนิคผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพคอยให้บริการในด้านการบำรุงรักษา และซ่อมแซมรถยนต์ของลูกค้า เพื่อให้สามารถบำรุงรักษารถยนต์ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ทุกคนจะต้องผ่านการฝึกอบรมในหลักสูตรต่างๆ เพื่อให้ครอบคลุมทุกเรื่องที่ควรรู้ ตั้งแต่ใต้ฝากระโปรงรถไปจนถึงส่วนอื่นๆ โดยหลักสูตร จะครอบคลุมทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความรู้พื้นฐาน ปัญหาที่เกิดขึ้น สมรรถนะของเครื่องยนต์ ระบบปรับสภาวะอากาศ (HVAC) ระบบขับเคลื่อน และเพลา การบังคับพวงมาลัยและช่วงล่างของรถยนต์ การเบรก และอื่นๆ โดยจะต้องผ่านหลักสูตรทั้งหมด 12 ประเภท รวมถึงการอบรมเชิงทฤษฎีและเชิงปฏิบัติต่างๆ อีกหลายหลักสูตร



กำลังโหลดความคิดเห็น