การแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลกหรือที่คนทั่วโลกรู้จักในนาม “โมโตจีพี” มีขึ้นมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน โดยในปีนี้เป็นครั้งแรกที่ประเทศไทย ได้รับสิทธิ์ในการเป็นหนึ่งในสนามแข่งของฤดูกาลนี้ ซึ่งการแข่งขันเพิ่งจะจบลงไปผลออกมาเป็นอย่างไร คงไม่ต้องบรรยายซ้ำ
มิชลิน ในฐานะ สปอนเซอร์หลักของการแข่งขันรายการนี้ ได้นำสื่อมวลชม เข้าร่วมชมการแข่งขันที่บุรีรัมย์ พร้อมกับการเปิดโอกาสให้สัมภาษณ์ทีมงาน ผู้อยู่เบื้องหลังการแข่งขัน ทั้งในส่วนของผู้ที่ดูแลยางทั้งหมดและผู้จัดการทีมแข่ง ที่มาให้ข้อมูล ซึ่งมิอาจจะหาได้ทั่วไป
ความจริงที่ว่า สนามบุรีรัมย์ เซอร์กิต นั้นเมื่อครั้งมาทำ วินเทอร์ เทสต์ เพื่อเก็บข้อมูลนำไปสร้างรถและยาง โดยเฉพาะในส่วนของยางนั้น มิชลิน บอกว่า เป็นสนามที่พื้นผิวมีความร้อนสูงที่สุดในระดับ 55-60 องศาเซลเซียส เมื่อลงแข่งขันจริง อุณหภูมิของยางจะสูงถึง 120 องศาเซลเซียส และมีโอกาสที่จะฝนตกได้ด้วย ดังนั้น การเตรียมยางจึงต้องครบถ้วน
ทั้งนี้ ด้วยปัจจัยของสนามที่มี โค้งซ้าย 5 โค้ง โค้งขวา 7 โค้ง ทำให้มิชลิน ผลิตยางขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับสนามแห่งนี้โดยเฉพาะ ซึ่งจะมีหน้ายางด้านขวาหนากว่าด้านซ้ายและทนความร้อนได้สูงกว่าปกติ
ทุกทีมจะได้รับยางมิชลิน เหมือนกันในจำนวนที่เท่าเทียมกันทั้งหมด คือ แบบนุ่ม, ปานกลาง, แข็ง อย่างละ 3 ชุด และ ยางฝนอีกหนึ่งชุด โดยปกติสนามอื่นๆ จะมีการเตรียมยางทั้งหมด 1,400 ชุด แต่สำหรับเมืองไทย มิชลิน เตรียมไว้ถึง 1,700 ชุด เนื่องจากสภาพสนามที่มีความขรุขระมากกว่า เกิดจากความตั้งใจให้ขรุขระ เพื่อการยึดเกาะที่ดี แต่มีข้อเสียคือ ยางจะหมดไวกว่าปกติ
ส่วนสิ่งที่ยากที่สุดของ มิชลิน ในฐานะผู้พัฒนายาง คือ การที่รถจักรยานยนต์แต่ละค่ายแตกต่างกัน แต่จะต้องสร้างยางให้ทุกทีมสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่แตกต่างกัน มิชลินนอกจากจะให้ยางแล้ว ยังให้ทีมวิศวกรประจำแต่ละทีมไว้ด้วยเพื่อดูแลเรื่องของยางโดยเฉพาะ
สำหรับ ความลับที่ทีมงานมิชลิน บอกเราคือ ยางจะคงประสิทธิภาพเต็มร้อยเปอร์เซนต์ในการวิ่งไม่เกิน30 รอบ (การแข่งจริงวิ่ง 26 รอบสนาม+วอร์มอัพ 1 รอบ) ดังนั้น เมื่อแต่ละทีมมีข้อจำกัดในการใช้งานยางเท่าเทียมกันเช่นนี้ รู้ข้อเท็จจริงเหมือนกัน โดยมิชลิน บอกเราว่ายางแข็งเหมาะกับสนามนี้ ส่วนทีมแข่งจะเชื่อหรือไม่ ทีมช่างและนักแข่งจะเป็นคนตัดสินใจ เลือกใช้ตามความเหมาะสม
ทั้งนี้ หากสังเกตุดูในการแข่งขันช่วงแรก นักบิดทุกคนจะบิดประคองตัว ไม่บู๊เร่ง แต่จะมาลุยกันในช่วงรอบท้ายเหตุผลแท้จริง คือ เพื่อเซฟยาง เซฟรถ เซฟร่างกาย เพราะนี่คือสนามที่ร้อนที่สุดและโหดร้ายกับยางมากที่สุดในปีนี้ โดยมาร์ค มาร์เกซ ถือเป็นตัวอย่างชั้นดี จากการปล่อยให้คู่แข่งนำไปก่อนแล้วพลิกกลับมาแซงในช่วงโค้งสุดท้ายได้ซึ่งตัวเขาเองยอมรับจากใจในช่วงของการให้สัมภาษณ์ว่า หลายจังหวะที่เขาสามารถแซงได้ แต่ไม่ทำ เพื่อเซฟกำลังเอาไว้ในช่วงท้าย จึงเป็นที่มาของคำถามว่า มาร์ค เปลี่ยนสไตล์การขี่แล้วหรือ ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่า ใช่มันเป็นเทคนิคและแทคติคสำหรับการขี่สนามนี้ผลลัพธ์ เป็นไปตามที่ มาร์เกซ คาดเอาไว้ รถของ โดวี่ บานออกเล็กน้อยในช่วงโค้งสุดท้าย ทำให้ มาร์เกซ สามารถแซงเฉือนเอาชนะไปได้
ขณะที่ โดวี่ ยอมรับว่า เขาทำครบถ้วนทุกอย่างตามแผนที่วางไว้แล้วเช่นกัน ตัวรถปรับแต่งให้เข้ากับการขี่ในสนามแห่งนี้ได้อย่างลงตัว ทีมช่างทำได้อย่างยอดเยี่ยมแล้ว การขับเคี่ยวกันในโค้งสุดท้าย หากจะให้เขาขี่ดุดันกว่านี้ ก็ทำได้ แต่เขาห่วงเรื่องของความปลอดภัยมาก่อน ทั้งตัวเขาและมาร์เกซ ดังนั้น ผลลัพธืจึงเป็นเช่นที่เห็น
ถึงบรรทัดนี้ ชัยชนะที่ดูเหมือนสนุกสนานและง่ายดาย แต่ความจริง เป็นผลมาจากการทำงานอย่างหนักของตัวนักแข่งและผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมด ซึ่งเราเรียกสิ่งนี้ว่า “ทีม”