xs
xsm
sm
md
lg

เบนท์ลี่ย์ คอนติเนนทอล จีที ซูเปอร์คาร์ขับสบายที่สุดในโลก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์






เบนท์ลี่ย์ ชื่อของแบรนด์นี้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติว่าอยู่ในระดับหรูสุดแบรนด์หนึ่งและน่าจะคุ้นหูของคนไทยอยู่บ้าง เพราะถือว่าทำตลาดในเมืองไทยมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน แม้ช่วงเปลี่ยนผ่านในระดับโลกที่เกิดการแยกทางกันระหว่าง เบนท์ลี่ย์และโรลส์-รอยซ์ โดยปัจจุบัน เบนท์ลี่ย์ อยู่ภายใต้กลุ่ม โฟล์คสวาเกน กรุ๊ป ขณะที่อีกค่ายไปอยู่ใต้ปีกของใบพัดฟ้าขาว








สำหรับ เบนท์ลี่ย์ ยุคใหม่นี้ สร้างสรรค์รถยนต์ออกมาตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างตรงใจมากขึ้นกว่าแต่ก่อน โดยรถรุ่นที่ประสบความสำเร็จที่สุด คือ คอนติเนนทอล จีที (Continental GT) รถสไตล์สปอร์ตแบบแกรนด์ ทัวเรอร์ ที่มียอดขายรวมกว่า 70,000 คันทั่วโลก นับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในปี ค.ศ. 2003




ล่าสุด หลังเปิดตัวเจเนอเรชันที่สามของตระกูลคอนติเนนทอลออกมา เมื่อช่วงต้นปีนี้ ถึงคิวของการทดลองขับ โดยทีมงาน MGR motoring ตอบรับคำเชิญเข้าร่วมการทดลองขับ คอนติเนนทอล จีที ที่ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นอีเวนต์ระดับภูมิภาคของทางเบนท์ลี่ย์ที่จัดให้สื่อมวลชนและลูกค้าได้มีประสบการณ์ทดลองขับ ก่อนไปถึงบททดลองขับมาทำความรู้จัก คอนติเนนทอล จีที กันสักหน่อยว่าเป็นอย่างไรบ้าง



-เจน 3 W12 ขับสี่

ในส่วนของการออกแบบ เริ่มตั้งแต่โครงสร้างตัวถังที่ใหม่หมดจด โดยมีการเปลี่ยนวัสดุจากเหล็กมาใช้เป็นอะลูมิเนียมมากขึ้น เพื่อช่วยในเรื่องของการลดน้ำหนักลงได้ถึง 85 กิโลกรัม และดูดซับแรงกระแทกได้ดียิ่งขึ้น โดยขนาดตัวถังยาวกว่าเดิม ขณะที่ความสูงและความกว้างเท่าเดิม ซึ่งหากมองรูปทรงภายนอกจะดูเหมือนเล็กลงและมีเส้นสายที่โค้งเว้ามากขึ้น




จุดเด่นไฮไลท์ที่ทางเบนทืลี่ย์ภูมิใจนำเสนอที่สุดของคอนติเนนทอล จีที โฉมใหม่นี้ คงอยู่ที่ชุดโคมไฟหน้า ด้วยการใช้เทคนิคเดียวกับการทำแก้วคริสตัลที่มีลายสร้างสรรค์ให้แสงที่ส่องออกมาจากหลอดไฟ LED ดูหรูหราและอลังการ พร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ ในการปรับลดแสงตาม เพื่อไม่ให้แยงตาคนขับรถที่สวนมาหรือคนเดินถนน



หัวใจอย่างที่ทราบกันว่าเป็นเครื่องยนต์รุ่นใหม่ล่าสุด เบนซินขนาด 6.0 ลิตร แบบ W12 เทอร์โบคู่ ให้กำลังสูงสุด 635 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 900 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ คลัตช์คู่ 8 สปีด ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา ซึ่งเครื่องยนต์ตัวนี้ เป็นวิทยาการล่าสุดที่เหมือนใช้เครื่อง V6 จำนวน 2 ตัว มาวางไขว้กัน ช่วยลดพื้นที่ขนาดห้องเครื่องลงได้ ทำให้รถมีความสมดุลมากขึ้น อัตราส่วนกระจายน้ำหนักที่หน้า 53% - หลัง 47%



ทั้งนี้ เครื่องยนต์ W12 มากับเทคโนโลยีใหม่ที่สามารถตัดการทำงานให้ใช้เพียง 6 สูบได้ ไม่จำเป็นต้องทำงานทั้ง 12 สูบตลอดเวลา ช่วยให้มีอัตราการบริโภคน้ำมันที่น่าประทับใจ 8.1 กม./ลิตร รวมถึงยังมีน้ำหนักที่เบาลงกว่าตัวเดิม ที่ใช้เครื่องแบบ V12 ถึง 30 กิโลกรัม อีกด้วย



ด้านการตกแต่งภายใน อาศัยแนวคิดจากกลไกของนาฬิกาสวิส ที่มีความละเอียดซับซ้อนแต่มีสเน่ห์ โดยยังคงความประณีตในระดับสูงสุดตามแบบฉบับของเบนท์ลี่ย์ ทั้งคุณภาพของหนังและการเดินเส้นด้าย ซึ่งผู้จองสามารถเลือกทุกสิ่งอย่างได้ตามความต้องการ เช่น เบาะนั่งมาตรฐานปรับได้ 12 ทิศทาง เปลี่ยนเป็นเบาะเวอร์ชั่นพิเศษปรับได้ถึง 20 ทิศทาง



อีกหนึ่งสิ่งของดีไซน์ภายในที่ต้องกล่าวถึง คือ จอแสดงผลขนาด 12.3 นิ้ว กลางคอนโซลหน้า ที่ออกแบบให้สามารถหมุนเก็บได้ โดยมี 3 ด้านให้เลือก พร้อมกับลูกเล่นแสงไฟในห้องโดยสารยามค่ำคืนที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามอารมณ์ของผู้ขับขี่ รวมถึงไฟโลโก้ตัวบีที่ส่องลงบนพื้นทุกครั้งเมื่อประตูรถถูกเปิดออก หนึ่งในกิมมิกเล็กๆ ที่เรียกว่า ตื่นตาตื่นใจให้กับผู้พบเห็นได้ดีทีเดียว





-แรงดั่งซูเปอร์คาร์ สบายเท่าซูเปอร์ซาลูน

เริ่มการทดลองขับกันด้วยการเรียนรู้เกี่ยวกับตัวรถและการใช้งานเบื้องต้นที่ต้องบอกว่า ง่าย ไม่มีอะไรน่ากังวล เมื่อเข้าประจำการในตำแหน่งคนขับ ความรู้สึกแรก คือ หรูหราจริง ผิวสัมผัสมีความละเอียดเนียนรับรู้ได้ถึงความพิถีพิถันในการเลือกวัสดุมาใช้ ปุ่มกดต่างๆ ละลานตา เหมือนอยู่ในห้องควบคุมของเครื่องบิน




ติดเครื่องยนต์ โดยเปิดประตูเอาไว้ ได้ยินเสียงท่อคำราม สไตล์รถซุปเปอร์คาร์ แต่มาแบบผู้ดีหน่อย ไม่ถึงกับดุดัน หรือดิบอย่างซูเปอร์คาร์คันอื่นๆ เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมเดินทางเข้าเกียร์ กดคันเร่ง โยกพวงมาลัยเพียงเบาๆ ไม่หนักมือก็สามารถหมุนตัวรถออกมาจากที่จอดได้ง่ายๆ



เราขับตามเส้นทางที่กำหนดระยะทางรวมไป-กลับ ประมาณ 300 กม. การขับในเมือง คล่องตัว ทัศนวิสัยเคลียร์ชัดเจนดีมาก แม้จะเป็นรถสปอร์ตแบบคูเป้ น้ำหนักเบรกค่อนข้างหนัก ต้องทำความคุ้นเคยสักเล็กน้อย แต่เมื่อขับไปได้สักระยะมั่นใจว่าคุณจะชอบอย่างแน่นอน



เมื่อออกนอกเมืองเข้าสู่ทางด่วนมอเตอร์เวย์ของออสเตรเลีย ด้วยกฎหมายควบคุมความเร็ว ทำให้เราขับได้เร็วที่สุดเพียง 110 กม./ชม. แต่ก็ได้มีโอกาสทดลองใช้ระบบ Adaptive Cruise Control ซึ่งถือว่าเป็นลูกเล่นใหม่ในคอนติเนนทอล จีทีคันนี้ พบว่า ใช้งานได้ง่าย เพียงกดปุ่มเดียวเท่านั้น ระยะห่างคันหน้าและความเร็วจะถูกเซตช่วยให้ขับขี่ทางยาวๆ ได้อย่างสบายและปลอดภัยมากขึ้น



เมื่อเข้าสู่ช่วงถนนทางหมู่บ้านที่ค่อนข้างโล่งและปลอดภัย เรามีโอกาสได้ลองกดคันเร่งแบบออกตัวแบบเต็มกำลัง อาการดึงหลังติดเบาะจากเครื่องยนต์ W12 ของคอนติเนนทอล จีที ทำให้อะดีนาลีนของเราพุ่งพล่านขึ้นมาทันควัน พร้อมเสียงท่อคำรามที่ส่งเข้ามาในห้องโดยสาร ซึ่งปกติจะค่อนข้างเงียบและไม่มีเสียการทรงตัวแต่อย่างใด จุดนี้เองที่ทำให้เราเรียกเจ้าคอนติเนนทอล จีทีว่า ซูเปอร์คาร์ ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ




การใช้งานปุ่มต่างๆ ภายในห้องโดยสารนั้น ง่าย แม้จะดูมีจำนวนเยอะ แต่เชื่อเถอะว่า ขับไปสักพักจะคุ้นชิน แล้วทุกอย่างจะสะดวกจริง โดยเฉพาะการใช้งานระบบจอที่คอนโซลกลาง ซึ่งแสดงผลได้อย่างครบถ้วน อย่างไรก็ตาม มีบางสิ่งที่เราไม่ชอบอยู่บ้าง คือ เมื่อขับกลางแดดจ้า จะมีบางจังหวะที่แสงแดดสะท้อนกับมุมของปุ่มต่างๆ เข้ามาแยงตาเรา ด้วยความที่เป็นวัสดุเงาวาวนั่นเอง




ส่วนจุดใหญ่ใจความที่คอนติเนนทอล จีที แตกต่างจากซูเปอร์คาร์คันอื่นๆ คือ ความนุ่มนวลและสบายในการขับขี่ เมื่อคุณใช้งานในชีวิตประจำวัน คอนติเนนทอล จีที ตอบโจทย์การขับขี่ที่สบายได้ทุกวัน หากอยากแรงเพียงแค่กดคันเร่งให้หนักสักหน่อยก็สนุกได้ รวมถึงการเป็นรถแบบ 4 ที่นั่ง ในรูปทรงของคูเป้ เบาะหลังแม้ไม่กว้างมาก แต่นั่งได้สบายอยู่


-เหมาะกับใคร

เมื่อนำราคาเป็นตัวตั้ง ด้วยสนนราคาค่าตัวในเมืองไทยราว 22 ล้านบาท หันไปมองคู่แข่งแบบตรงๆ คงไม่มี สำหรับคนที่สนใจจะซื้อรถราคาระดับนี้ นอกจากสมรรถนะดังที่เรากล่าวมาแล้ว ความสวยงามและเป็นรถที่คุณแม่บ้านขับได้สบายๆ น่าจะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้คุณพ่อบ้านตัดสินใจซื้อได้โดยไม่ต้องกังวลใดๆ

























กำลังโหลดความคิดเห็น