เมอร์เซเดส-เบนซ์ เปิดเผยข้อมูลพร้อมภาพอย่างเป็นทางการชุดแรกของ จีแอลอี (GLE) รถเอนกประสงค์แบบเอสยูวี ตัวใหม่ล่าสุด เจเนอเรชันที่ 4 โดยวางแผนเริ่มทำตลาดในต้นปีหน้า ซึ่งการประกาศในครั้งนี้ เนื่องจากคู่แข่งตลอดกาลอย่าง บีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์5 มีการปล่อยข้อมูลออกมาก่อนหน้านี้ ในลักษณะเช่นเดียวกัน

สำหรับ จีแอลอี ตัวใหม่ มาพร้อมกับนวัตกรรมใหม่ที่ล้ำสมัยมากมายหลายรายการ เริ่มต้นด้วยระบบช่วงล่างแบบ E-ACTIVE BODY CONTROL on a 48 volt basis ระบบช่วงล่างแบบถุงลม Airmatic ที่สามารถควบคุมความแข็ง-นุ่มของแต่ละชิ้นได้อย่างอิสระทั้ง 4 ล้อ เพื่อช่วยลดการสั่นโคลงของตัวถังและการทรงตัวที่ดีขึ้น พร้อมรองรับเทคโนโลยีใหม่แบบ 48 โวลท์
ระบบช่วยควบคุมการทรงตัว เมื่อมีการพ่วงท้าย Active Tailback Assist ระบบนี้ จะช่วยเมื่อต้องลากจูงด้านท้าย โดยจะทำงานในช่วงการหยุดและออกตัว ที่ความเร็วไม่เกิน 60 กม./ชม.

ระบบปิดการทำงานของระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ ฟังก์ชั่นใหม่สำหรับการปิดระบบ Active Brake Assist เพื่อช่วยป้องกันการเบรกที่ไม่พึงประสงค์ เมื่อเวลาแซงรถในเลนช้า หรือการเปลี่ยนเลนกระทันหันเพื่อหลบหลีกสิ่งกีดขวางทางด้านหน้า
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบใหม่ 4Matic มาพร้อมกับระบบ Toque on Demand (TonD) ซึ่งจะทำหน้าที่กระจายแรงบิดไปยังล้อทั้ง 4 ตามความต้องการ ตั้งแต่ 0-100% ขึ้นกับโหมดที่เลือกใช้งานในเวลานั้น ส่งผลให้ GLE สามารถขับขี่แบบออฟโรดได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น

ทั้ง 4 รายการคือ ระบบใหม่ล่าสุดของ GLE ที่เปิดตัวมาเป็นครั้งแรก นอกจากนั้น GLE ยังได้รับการขยายฐานล้อให้ยาวขึ้น 80 มม. ทำให้มีพื้นที่ภายในห้องโดยสารมากขึ้น โดยเบาะนั่งแถวสองสามารถปรับได้และใส่เบาะนั่งแถวที่สามเพิ่มเติมได้หากลูกค้าต้องการ (ออพชันเสริม)



ขณะที่การออกแบบภายนอก มากับรูปทรงที่โค้งมนมากขึ้น ตามหลักอากาศพลศาสตร์ ทำให้ GLE มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ (Cd) เพียง 0.29 ดีที่สุดในคลาสนี้ กระจังหน้าดีไซน์ใหม่ ใช้วัสดุแบบโครมเมี่ยม เพิ่มความหรูหรา ไฟหน้าแบบมัลติบีม แอลอีดี ให้ความสว่างระดับ 1 ลักซ์ สามารถส่องได้ระยะไกลกว่า 650 เมตร ส่วนล้อและยางมีให้เลือกตั้งแต่ขนาด 18-22 นิ้ว


การตกแต่งภายในมากับดีไซน์ฉีกจากเดิมไปอย่างสิ้นเชิง แต่ยังคงความหรูหราและมีเอกลักษณ์ในความเป็นแบรนด์แห่งดวงดาวเอาไว้ไม่เสื่อมคลาย ช่องแอร์ออกแบบใหม่ คอนโซลหน้าแบบจอยาว ดูราบเรียบ แต่แสดงผลได้อย่างครบครัน พร้อมแฝงลูกเล่นต่างๆ มากมายเช่น ไฟซ่อนทั่วห้องโดยสาร รวมถึงลูกเล่นสั่งการด้วยมือ ภายใต้ชื่อระบบที่เรียกว่า Mercedes-Benz User Experience (MBUX)
เหนืออื่นใด GLE ใหม่ มากับระบบสั่งการด้วยเสียงเวอร์ชั่นพัฒนาใหม่ล่าสุด ที่สามารถเริ่มต้นสั่งการได้ด้วยการพูดคำว่า “Hey Mercedes” ซึ่งเข้าใจคำสั่งที่ยากและซับซ้อนมากกว่าเดิม พร้อมรองรับถึง 3 ภาษา ได้แก่ จีน(แมนดาริน) , อังกฤษ และเยอรมัน
ขณะที่จอแสดงผลบนกระจกหน้า (Head Up Display) รุ่นใหม่มากับความคมชัดระดับ 720x240 พิกเซล โดยอยู่ในตำแหน่งที่มองเห็นได้สะดวก ไม่จำเป็นต้องละสายตาลงมามองและไม่รบกวนการขับขี่ทางไกล








สำหรับหัวใจใหม่ของ GLE เปิดตัวมากับเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ (รองรับเทคโนโลยี 48 โวลท์) กำลังสูงสุด 367 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด (9G-tronic) อัตราการปล่อยไอเสีย 220-190 กรัม/กม. และอัตราการบริโภคน้ำมัน 12-10.4 กม./ลิตร ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลและปลั้กอินไฮบริดจะตามออกมาภายหลัง ประมาณต้นปีหน้า
เมอร์เซเดส-เบนซ์ GLE มีกำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการต่อสาธารณชนในงาน ปารีส มอเตอร์โชว์ ในช่วงเดือนตุลาคม ที่จะถึงนี้









สำหรับ จีแอลอี ตัวใหม่ มาพร้อมกับนวัตกรรมใหม่ที่ล้ำสมัยมากมายหลายรายการ เริ่มต้นด้วยระบบช่วงล่างแบบ E-ACTIVE BODY CONTROL on a 48 volt basis ระบบช่วงล่างแบบถุงลม Airmatic ที่สามารถควบคุมความแข็ง-นุ่มของแต่ละชิ้นได้อย่างอิสระทั้ง 4 ล้อ เพื่อช่วยลดการสั่นโคลงของตัวถังและการทรงตัวที่ดีขึ้น พร้อมรองรับเทคโนโลยีใหม่แบบ 48 โวลท์
ระบบช่วยควบคุมการทรงตัว เมื่อมีการพ่วงท้าย Active Tailback Assist ระบบนี้ จะช่วยเมื่อต้องลากจูงด้านท้าย โดยจะทำงานในช่วงการหยุดและออกตัว ที่ความเร็วไม่เกิน 60 กม./ชม.
ระบบปิดการทำงานของระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ ฟังก์ชั่นใหม่สำหรับการปิดระบบ Active Brake Assist เพื่อช่วยป้องกันการเบรกที่ไม่พึงประสงค์ เมื่อเวลาแซงรถในเลนช้า หรือการเปลี่ยนเลนกระทันหันเพื่อหลบหลีกสิ่งกีดขวางทางด้านหน้า
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบใหม่ 4Matic มาพร้อมกับระบบ Toque on Demand (TonD) ซึ่งจะทำหน้าที่กระจายแรงบิดไปยังล้อทั้ง 4 ตามความต้องการ ตั้งแต่ 0-100% ขึ้นกับโหมดที่เลือกใช้งานในเวลานั้น ส่งผลให้ GLE สามารถขับขี่แบบออฟโรดได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น
ทั้ง 4 รายการคือ ระบบใหม่ล่าสุดของ GLE ที่เปิดตัวมาเป็นครั้งแรก นอกจากนั้น GLE ยังได้รับการขยายฐานล้อให้ยาวขึ้น 80 มม. ทำให้มีพื้นที่ภายในห้องโดยสารมากขึ้น โดยเบาะนั่งแถวสองสามารถปรับได้และใส่เบาะนั่งแถวที่สามเพิ่มเติมได้หากลูกค้าต้องการ (ออพชันเสริม)
ขณะที่การออกแบบภายนอก มากับรูปทรงที่โค้งมนมากขึ้น ตามหลักอากาศพลศาสตร์ ทำให้ GLE มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ (Cd) เพียง 0.29 ดีที่สุดในคลาสนี้ กระจังหน้าดีไซน์ใหม่ ใช้วัสดุแบบโครมเมี่ยม เพิ่มความหรูหรา ไฟหน้าแบบมัลติบีม แอลอีดี ให้ความสว่างระดับ 1 ลักซ์ สามารถส่องได้ระยะไกลกว่า 650 เมตร ส่วนล้อและยางมีให้เลือกตั้งแต่ขนาด 18-22 นิ้ว
การตกแต่งภายในมากับดีไซน์ฉีกจากเดิมไปอย่างสิ้นเชิง แต่ยังคงความหรูหราและมีเอกลักษณ์ในความเป็นแบรนด์แห่งดวงดาวเอาไว้ไม่เสื่อมคลาย ช่องแอร์ออกแบบใหม่ คอนโซลหน้าแบบจอยาว ดูราบเรียบ แต่แสดงผลได้อย่างครบครัน พร้อมแฝงลูกเล่นต่างๆ มากมายเช่น ไฟซ่อนทั่วห้องโดยสาร รวมถึงลูกเล่นสั่งการด้วยมือ ภายใต้ชื่อระบบที่เรียกว่า Mercedes-Benz User Experience (MBUX)
เหนืออื่นใด GLE ใหม่ มากับระบบสั่งการด้วยเสียงเวอร์ชั่นพัฒนาใหม่ล่าสุด ที่สามารถเริ่มต้นสั่งการได้ด้วยการพูดคำว่า “Hey Mercedes” ซึ่งเข้าใจคำสั่งที่ยากและซับซ้อนมากกว่าเดิม พร้อมรองรับถึง 3 ภาษา ได้แก่ จีน(แมนดาริน) , อังกฤษ และเยอรมัน
ขณะที่จอแสดงผลบนกระจกหน้า (Head Up Display) รุ่นใหม่มากับความคมชัดระดับ 720x240 พิกเซล โดยอยู่ในตำแหน่งที่มองเห็นได้สะดวก ไม่จำเป็นต้องละสายตาลงมามองและไม่รบกวนการขับขี่ทางไกล
สำหรับหัวใจใหม่ของ GLE เปิดตัวมากับเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ (รองรับเทคโนโลยี 48 โวลท์) กำลังสูงสุด 367 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด (9G-tronic) อัตราการปล่อยไอเสีย 220-190 กรัม/กม. และอัตราการบริโภคน้ำมัน 12-10.4 กม./ลิตร ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลและปลั้กอินไฮบริดจะตามออกมาภายหลัง ประมาณต้นปีหน้า
เมอร์เซเดส-เบนซ์ GLE มีกำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการต่อสาธารณชนในงาน ปารีส มอเตอร์โชว์ ในช่วงเดือนตุลาคม ที่จะถึงนี้