ตลาดรถยนต์รวมในเวลานี้เรียกว่าเป็นขาขึ้นอย่างชัดเจนด้วยยอดขายที่เติบโตอย่างสวยงามผ่าน 7 เดือนแรกของปีนี้ด้วยอัตราการเติบโตกว่า 20% ทำให้บรรดาค่ายรถยนต์ปรับเป้าประมาณการณ์และแผนการขายใหม่ให้สอดคล้องกับทิศทางของตลาด ซึ่งเมื่อมองลึกลงไปในภาพรวมของยอดขายยังมีเซกเมนท์ที่น่าสนใจอยู่
“รถหรู” ตลาดที่ได้ชื่อว่ามีการได้รับผลกระทบน้อยไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจจะดีหรือแย่ แต่กลับมีการแข่งขันที่สูงไม่แพ้ตลาดอื่น และยิ่งเมื่อมีข่าวด้านลบเกี่ยวกับรถหรูในปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจไปบ้าง มาดูกันว่าผ่านครึ่งปีมาแล้วมีอะไรน่าสนใจบ้าง
สำหรับตัวเลขยอดขายของรถหรูในเมืองไทย ยังไม่มีการรายงานอย่างเป็นทางการดังนั้น ทีมงาน MGR Motoring จึงอาศัยยอดจดทะเบียนจากกรมการขนส่งทางบกในการนำมาวิเคราะห์ทิศทางของตลาดว่ามีจำนวนเท่าไหร่กันแน่ ซึ่งจากการรายงานสถิติจดทะเบียนตั้งแต่ เดือนมกราคม ถึงกรกฎาคม พ.ศ. 2561 มียอดขายรวมทั้งสิ้น19,599 คัน (ดูตารางประกอบ)
ตัวเลขดังกล่าวเป็นยอดจดทะเบียนรถใหม่ป้ายแดงนับรวมแบรนด์หรูทุกยี่ห้อ ทั้งจากตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการและผู้นำเข้าอิสระ ซึ่งจะเห็นได้ว่า เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังคงเป็นผู้นำในตลาดกลุ่มนี้ โดยในปีนี้ ค่ายแห่งดวงดาวมีการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่หลากหลายรุ่น แม้จะไม่ใช่รุ่นที่เป็นตัวสร้างยอดขายหลักแต่ก็สามารถเรียกความสนใจได้
สิ่งที่น่านำมาพิจารณาคือ สัดส่วนการขายของรถที่มีระบบไฟฟ้ากับรถที่ใช้น้ำมันล้วน สัดส่วนการขายของรถแบบปลั๊กอิน ไฮบริด ของเมอร์เซเดส-เบนซ์นั้น ก้าวขึ้นมาอยู่ในระดับ 40-50% หรือเรียกว่าเกือบครึ่งของยอดขายทั้งหมดแล้ว ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์ สื่อสารการตลาดภายใต้ชื่อแบรนด์ EQ
ทั้งนี้นอกจากความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์แล้ว รถภายใต้แบรนด์ EQ ของเมอร์เซเดส-เบนซ์นั้น มีตัวขายหลัก ทั้งในรุ่น ซี-คลาสและอี-คลาส ที่มีการประกาศราคาขายออกมาอยู่ในระดับต่ำกว่ารุ่นอื่นๆ รวมถึงการยุติการทำตลาดเครื่องยนต์ดีเซลไปด้วย ทำให้สัดส่วนการขายของรถ อีคิวนั้นมีอัตราเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยยะสำคัญ
“รถปลั้กอินไฮบริดหรือ PHEV ของเราถือว่าตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างตรงใจผู้บริโภค เพราะสามารถใช้เชื้อเพลิงได้ทั้งน้ำมันและไฟฟ้า จึงเหมาะกับยุคเปลี่ยนผ่านในเวลานี้ อนาคตรถยนต์ไฟฟ้าแบบ EV มาอย่างแน่นอน ซึ่งสอดรับกับการที่เราลงทุนสร้างโรงงานประกอบแบตเตอรี่ในเมืองไทย เพื่อรองรับทิศทางดังกล่าว” คำกล่าวของฟรังค์ ชไตน์อัคเคอร์ รองประธานฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด
เห็นได้ชัดว่า เมอร์เซเดส-เบนซ์กำลังวางแผนการผลิตรองรับทิศทางของอนาคตไว้เรียบร้อยแล้ว ส่วนการจัดกิจกรรมต่างๆ มีอย่างต่อเนื่องทุกเดือนล่าสุดมีการเปิดตัว S560 Coupe โฉมไมเนอร์เชนจ์ ด้วยราคาค่าตัวเริ่มต้น15.99 ล้านบาท เจาะกลุ่มลูกค้ากระเป๋าหนัก
ขณะที่คู่แข่งรายสำคัญ บีเอ็มดับเบิลยู ไม่มีน้อยหน้าแต่อย่างใด ล่าสุดเซอร์ไพรส์เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ 3 รุ่นรวด ในงาน BMW Xpo 2018 ซึ่งจะจัดขึ้นที่ ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัล เวิร์ล ในระหว่างวันที่ 6-9 กันยายน ที่จะถึงนี้ โดยไฮไลท์ของรถทั้ง 3 รุ่นได้แก่
บีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์ 4 โฉมใหม่ ในชื่อรุ่น X4 xDrive20d M Sport เจเนอเรชันที่ 2 ของรถเอนกประสงค์สไตล์คูเป้ ที่มากับเครื่องยนต์ ดีเซล ขนาด 2.0 ลิตร 4 สูบ Twin power turbo กำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด400 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ราคา 3,999,000 บาท (เป็นรถนำเข้า)
บีเอ็มดับเบิลยู i8 Roadster PHEV รถสปอร์ตระดับท้อปสุดของค่ายใบพัดฟ้าขาวที่มาในเวอร์ชัน โรดสเตอร์ แบบ 2 ที่นั่ง หลังคาเปิดประทุน โดยเป็นเวอร์ชัน LCi หรือไมเนอร์เชนจ์นั่นเอง ขุมพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า 143แรงม้า ขยับขึ้น 12 แรงม้า จากเครื่องยนต์ เบนซิน 3 สูบ Twin power turbo 231 แรงม้า สมรรถนะอัตราเร่ง 0-100 ในเวลาเพียง 4.6 วินาที เรียกว่าเป็นระดับซุปเปอร์คาร์ได้สบายๆ ราคาค่าตัว 12,999,000 บาท
บีเอ็มดับเบิลยู M2 Edition Black Shadow ตัวแรงเวอร์ชันพิเศษที่มีทั่วโลกเพียง 700 คันและเมืองไทยได้โควต้ามาเพียง 2 คันเท่านั้น พิกัดกำลัง เบนซิน BMW M Twin power turbo 6 สูบ 370 แรงม้า แรงบิดสูงสุด465 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยคลัตซ์คู่ 7 สปิด อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 4.3 วินาที ราคา 6,009,000 บาท สูงกว่ารุ่น M2 ปกติเพียง 200,000 บาท
นอกจากนั้นในงานดังกล่าวยังมีอีกหนึ่งไฮไลท์ คือ การโชว์ตัวของ BMW X7 Concept รถเอนกประสงค์ต้นแบบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่บีเอ็มดับเบิลยูเคยทำออกมา ซึ่งว่ากันว่าอีกไม่นานเราจะได้เป็นเจ้าของกันอย่างแน่นอน สำหรับเจ้ายักษ์ใหญ่คันนี้
ทั้งนี้นอกจาก 2 แบรนด์หลักที่เป็นผู้นำตลาดรถยนต์หรูแล้ว ยังมีแบรนด์อื่นๆ ที่น่าสนใจ อย่าง โรลส์-รอยซ์ ที่มียอดจดทะเบียนถึง 15 คัน แสดงให้เห็นว่า มหาเศรษฐีในเมืองไทยกลุ่มนี้ยังคงมีกำลังซื้อและมีความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี
เช่นเดียวกับ แบรนด์รถสปอร์ตหรู อย่าง เฟอร์รารี่ มียอดจดถึง 40 คัน, มาเซราติ 26 คัน, เบนทลี่ย์ 15 และแอสตันมาร์ติน 7 คัน ลูกค้ากลุ่มนี้ยังมีความเชื่อมันในแบรนด์และภาพรวมเศรษฐกิจ แต่จะตรงกันข้ามกับแบรนด์ ลัมโบกินี่ ที่ตัวแทนจำหน่ายประสบปัญหาในเรื่องของคดีความตั้งแต่ปีที่แล้ว ส่งผลให้มียอดจดทะเบียนเพียง 3 คันเท่านั้น ซึ่งปัจจุบัน ลัมโบกินี่ได้เปลี่ยนตัวแทนจำหน่ายจาก “นิชคาร์” มาเป็น “เรนาโซ” ของผู้บริหารทายาทตระกูลดัง “อภิชาติ ลีนุตพงษ์”
อย่างไรก็ตามยังมีอีกหนี่งแบรนด์ที่น่าสนใจคือ เทสล่า ซึ่งมียอดจดทะเบียน 4 คัน อาจจะดูน้อย แต่สิ่งนี้เป็นข้อพิสูจน์ว่า ผู้บริโภคชาวไทยเริ่มกล้าซื้อรถยนต์ไฟฟ้า แม้จะมีราคาแพงและไม่มีตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ รวมถึง รถยนต์ไฟฟ้า สามารถจดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายได้สมบูรณ์ทุกประการ มั่นใจได้
ถึงบรรทัดนี้ ตลาดรถหรูอาจจะดูขนาดแล้วเล็กกว่าเมื่อเทียบกับตลาดรวม แต่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ในระดับหนึ่ง แน่นอนแม้ว่าคนกลุ่มนี้มีจำนวนน้อยแต่ต้องไม่ลืมว่าเขาเหล่านั้นคือ ผู้จ้างงาน สร้างโอกาส ให้คนอื่นๆ พร้อมกับช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศขับเคลื่อนเดินหน้าต่อไปได้