กระแสของรถยนต์ไฟฟ้าในเมืองไทยเวลานี้ มีการพูดถึงกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากทางภาครัฐและค่ายรถยนต์ แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังคงมีไม่กี่ค่ายที่กล้านำรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ซึ่ง “เกีย” ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์หลักที่กล้านำตลาดด้วยการเปิดตัว “โซล อีวี” เข้ามาจำหน่ายเป็นรายแรกๆ
หลังการเปิดตัวอย่างเป็นทางการด้วยราคาแนะนำอยู่ที่ 2,297,000 บาท ต้องบอกว่าเป็นราคาที่เกินกว่าความคาดหมายของคนไทย จึงทำให้ยอดขายของเกีย โซล อีวี จนถึงปัจจุบันมีเพียงแค่ 1 คันเท่านั้น ซึ่งจากการแอบสอบถามของเราทราบว่า ผู้ซื้อนั้นชื่นชอบและไม่ใช่รถคันเดียวของบ้าน
ทีมงานเอ็มจีอาร์ ออนไลน์ ได้มีโอกาสทดลองขับ เกีย โซล อีวี เป็นเวลา 2 วัน พร้อมกับการทดลองชาร์จด้วยไฟบ้านและลองขับไปตามสถานที่ต่างๆ ในวิถีทางแบบคนเมือง มาดูกันว่า เกีย โซล อีวี เป็นอย่างไรบ้าง
-กระทัดรัด วิ่งไกล 250 กม.
เกีย โซล อีวี ถือกำเนิดขึ้นบนพื้นฐานของรถยนต์รุ่น โซล ในสไตล์รถอเนกประสงค์ขนาดกระทัดรัด ที่มีจุดเด่นในเรื่องของดีไซน์แปลกตาไม่เหมือนใคร ดูแล้วน่ารักแบบเกาหลี รวมถึงสีสันที่มาในสไตล์ทู-โทน ทำให้ เกีย โซล ดึงดูดสายตาจากคนรอบข้างได้พอสมควร
ในแง่ของพื้นฐานการขับเคลื่อน ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า กระแสสลับ แรงดันไฟฟ้า 375 โวลท์ สเปคนิยมของบรรดารถที่ใช้ระบบไฟฟ้าในการขับเคลื่อน มีกำลังสูงสุด 109 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 285 นิวตันเมตร ส่วนแบตเตอรี่เป็นแบบ ลิเทียม-อิออน โพลีเมอร์ ความจุ 30 kWh ตามสเปคเคลมระยะทางการวิ่งสูงสุดไว้ที่ 250 กม.
การชาร์จไฟตามสเปค ชาร์จแบบเร็ว (DC) ถึง 80% ใช้เวลา 23 นาที เมื่อชาร์จด้วยกำลังไฟ 100 กิโลวัตต์ และ ใช้เวลา 33 นาที เมื่อชาร์จด้วยกำลังไฟ 50 กิโลวัตต์
ส่วนการชาร์จแบบปกติ (AC) ถึง 100% ใช้เวลา 5.4 ชั่วโมง เมื่อชาร์จด้วยกำลังไฟ 6.6 กิโลวัตต์ และใช้เวลา 20 ชั่วโมง เมื่อชาร์จด้วยกำลังไฟ 2.2 กิโลวัตต์
ระบบช่วงล่างเป็นแบบแมคเฟอร์สันสตรัทที่ด้านหน้า และทอร์ชั่นบีม (คานแข็ง) ที่ด้านหลัง เหมือนรถปกติธรรมดาทั่วไป พวงมาลัยเป็นระบบไฟฟ้า ระบบความปลอดภัยมาครบทั้ง ABS, BAS, EPC, ESC, HAC, VSM และถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ด้านข้าง พร้อมม่านนิรภัย
ด้านอุปกรณ์ภายใน มีครบถ้วนตามสมัยนิยม ทั้งเครื่องเสียง MP3 , USB และ บลูทูท ครบถ้วนในการเชื่อมต่อความบันเทิง ลำโพง 6 ตัว ดีไซน์แหวกแนว จอแสดงผล ขนาด 5 นิ้ว อาจจะดูเล็กไปสักหน่อย แต่ถือว่าพอใช้งานได้ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติใช้งานสะดวก
-ขับจริง ไม่ถึง 200 กม.
ในส่วนของการทดลองขับ เราเลือกใช้เส้นทางวิ่งในเมืองและออกนอกเมืองไปแถวพุทธมณฑล ซึ่งการใช้งานในเมืองถือว่าเหมาะสมดี ด้วยขนาดตัวรถที่กระทัดรัด ขับขี่คล่องตัว พวงมาลัยเบามือ เปลี่ยนเลนง่าย วิสัยทัศน์ชัดเจนดีจากมุมมองของกระจกที่เป็นแนวค่อนข้างตั้ง
การขับขี่ให้ความรู้สึกไม่แตกต่างจากรถใช้เครื่องยนต์ปกติ อัตราเร่งพอดีไม่อีดแต่ก็ไม่แรงเร้าใจเหมือนรถยนต์ไฟฟ้าหลายๆ รุ่น ที่ได้เคยลองมา อาจจะเนื่องจากการเซตให้เป็นรถขนาดกระทัดรัด ไม่จำเป็นต้องการกำลังมากมาย ขอเพียงแค่เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปเท่านั้น
สำหรับความเร็วสูงสุด เราลองขับได้ที่ 120 กม./ชม. ตามสเปคระบุไว้ที่ 145 กม./ชม. การทรงตัวทำได้สมกับการเป็นรถขนาดเล็ก ประทับใจในระดับหนึ่ง ไม่ถึงกับชอบ นั่งพออุ่นใจได้แม้วิ่งบนทางด่วนที่มีลมแรง การบังคับควบคุมค่อนข้างดี เข้าโค้งแม่นยำ การรับแรงสะเทือนทำได้ประทับใจคนนั่งทางด้านหลังไม่มีเสียงบ่นแต่อย่างใด
ขณะที่ระยะทางการวิ่งจริงทำได้ประมาณ 180-200 กม.ขึ้นกับสภาวะการจราจรและลักษณะของการกดคันเร่ง ยิ่งกดมาก แบตก็ยิ่งหมดไว เฉกเช่นเดียวกับรถที่ใช้น้ำมันปกติ ตัวเลขที่เคลมไว้มักจะมากกว่าตัวเลขที่วิ่งได้จริง เนื่องจากสภาพการขับขี่ที่แตกต่างออกไป ดังนั้น จึงต้องทำความเข้าใจยอมรับในส่วนนี้ให้ดีเสียก่อน
ส่วนการชาร์จด้วยไฟบ้าน สามารถทำได้ เพียงใช้ชุดชาร์จที่ติดมาให้กับตัวรถก็สามารถเสียบปลั๊กชาร์จไฟได้ทันที แต่ต้องเชคสเปคของมิตเตอร์ไฟฟ้าของเราก่อน โดยที่ชุดชาร์จนั้น ต้องการมิตเตอร์ที่มีขนาดมากกว่า 15 แอมป์ขึ้นไป (ไปดูที่หน้าบ้านได้) และขนาดของสายไฟที่ใหญ่กว่าเบอร์ 1.5
ขณะที่วิธีชาร์จแสนง่ายดาย เพียงเสียบปลั้กและเปิดฝาที่ตำแหน่งหน้ารถจะพบรูเสียบ ให้เสียบตรงจุด เพียงเท่านี้ก็สามารถชาร์จไฟเข้ารถได้แล้ว โดยจะมีไฟแสดงที่คอนโซลหน้าว่ากำลังชาร์จไฟเข้าอยู่
ในส่วนของเหตุผลในการสร้าง เกีย โซล อีวี ขึ้นมานั้น มีการตั้งข้อสังเกตุว่า แท้จริงแล้วคงเป็นเรื่องของเงื่อนไขทางกฎหมายที่ถูกบังคับในยุโรป ให้เกีย จำเป็นต้องสร้างรถ แบบอีวี ออกมาจำหน่าย เพื่อช่วยลดค่าเฉลี่ยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงมาอยู่ในระดับที่กฎหมายกำหนด
มิฉะนั้นแล้ว เกีย จะต้องถูกปรับเป็นจำนวนเงินมหาศาล ถึงระดับที่ทำให้ เกีย สูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดยุโรปไป ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีกว่าแบรนด์ เกีย มีความแข็งแกร่งในยุโรปไม่น้อยหน้าแบรนด์ยุโรปอื่นๆ
-เหมาะกับใคร
เกีย โซล อีวี กับราคาค่าตัวระดับ 2 ล้าน บวกๆ คงไม่เหมาะที่จะเป็นรถคันแรกหรือคันเดียวของบ้านในเวลานี้ ช่วงเริ่มต้นของเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า ชนชั้นกลางทั่วไปคงต้องปล่อยวาง ให้เป็นหน้าที่ของ เศรษฐี หรือผู้มีกำลังทรัพย์ ที่อยากมีของเล่นแปลกใหม่่ไปก่อน จนกว่าจะถึงเวลาที่ภาครัฐ ตระหนัก และเห็นความสำคัญ อัดแคมเปญช่วยเหลืออย่างจริงจัง
