หลังจากเปิดตัวสู่ตลาดไทย เบนท์ลีย์ เบนเทย์ก้า ดีเซล ไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ล่าสุด เบนท์ลี่ย์ ประเทศไทย โดยบริษัท เอเอเอส ออโต้เซอร์วิส จำกัด จัดกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ “The Power of Diesel” ให้กับสื่อมวลชนกลุ่มเล็ก10 กว่าคน ได้สัมผัสเป็นครั้งแรก พร้อมทดลองขับ เบนท์ลีย์ เบนเทย์ก้า ดีเซล วี8 รถที่หรูหรา แรง หาคู่แข่งเทียบชั้นได้ยาก
ไฮไลท์ของงานนี้ ทางเบนท์ลี่ย์ ได้จัดสถานที่ให้เป็น World of Bentley โดยภายในงานฯ มีการจัดแสดงเครื่องมือ เครื่องหนัง และอุปกรณ์ งานฝีมือต่างๆ ในการสร้างสรรค์สร้างงานด้วยความพิถีพิถันของเบนท์ลีย์ พร้อมบอกเล่าเรื่องราวแผนกตกแต่งพิเศษอย่าง Mulliner อันเป็นเอกลักษณ์ที่สะท้อนถึงความโดดเด่นสวยงามจนได้ชื่อว่า The Beauty of Bespoke ให้มีความพิเศษเฉพาะบุคคล ถือว่าเกินกว่าชุดแต่งทั่วไปที่ผู้ผลิตมีให้ โดยช่างฝีมือระดับชั้นครูรังสรรค์ชิ้นงานอย่างพิถีพิถัน ประณีต เพื่อให้ตรงกับแรงบันดาลใจของลูกค้าเป็นหลัก
นอกจากนั้นทางเบนท์ลี่ย์ยังจัดกิจกรรม Workshop สุดพิเศษกับค็อกเทลซิกเนเจอร์อันเลื่องลือของทางเบนท์ลี่ย์ เป็นสูตรพิเศษเฉพาะที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการแข่งขันของ Bentley Boy ซึ่งทุกครั้งที่ลงแข่งขันและได้รับชัยชนะ ก็จะใช้เป็นเครื่องดื่มในการเฉลิมฉลองในทุก ๆ ที่ที่แข่งขัน จึงเกิดแนวความคิดให้ Harry Craddock บาร์เทนเดอร์ที่โด่งดังของโรงแรม The Savoy ซึ่งเป็นโรงแรมที่มีชื่อเสียงระดับโลก ช่วยรังสรรค์ The Bentley Cocktail ที่ทำมาโดยเฉพาะเพื่อเป็นเกียรติให้กับชัยชนะในการแข่งขันที่สนาม Le Mans ในปี 1927
นอกจากนั้นทางเบนท์ลี่ย์ยังจัดกิจกรรม Workshop สุดพิเศษกับค็อกเทลซิกเนเจอร์อันเลื่องลือของทางเบนท์ลี่ย์ เป็นสูตรพิเศษเฉพาะที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการแข่งขันของ Bentley Boy ซึ่งทุกครั้งที่ลงแข่งขันและได้รับชัยชนะ ก็จะใช้เป็นเครื่องดื่มในการเฉลิมฉลองในทุก ๆ ที่ที่แข่งขัน จึงเกิดแนวความคิดให้ Harry Craddock บาร์เทนเดอร์ที่โด่งดังของโรงแรม The Savoy ซึ่งเป็นโรงแรมที่มีชื่อเสียงระดับโลก ช่วยรังสรรค์ The Bentley Cocktail ที่ทำมาโดยเฉพาะเพื่อเป็นเกียรติให้กับชัยชนะในการแข่งขันที่สนาม Le Mans ในปี 1927
หลังจากนั้นก็เริ่มทำการทดสอบ โดยรถที่ทางเบนท์ลี่ย์เตรียมไว้ให้มีแค่คันเดียวนั่ง 2 คน จึงต้องสลับกันขับไป-กลับ ในระยะทางสั้น ๆ จากโรงแรมเพนนินซูลา กรุงเทพ ถ.เจริญนคร มุ่งหน้าสู่เอเชียติด
แต่ก่อนที่เราจะขึ้นรถเพื่อทำหน้าที่พลขับ ก็ได้เดินสำรวจรถกันสักนิด ซึ่งก็ต้องขอบอกว่า การออกแบบนั้นมีความพิถีพิถันในทุกขั้นตอนการผลิตและประกอบ ชิ้นส่วนแต่ละชิ้นทำอย่างปราณีต ร่วมสมัยสไตล์อังกฤษ อย่างเช่น การออกแบบโค้งซุ้มล้อ , แก้มหน้า และฝากระโปรงแสดงออกถึงสมดุลย์ภาพระหว่างความสปอร์ตและความบึกบึนตามแบบฉบับของรถยนต์เอสยูวี เส้นสายข้างตัวถังอันคมกริบและมัดกล้ามบริเวณด้านท้ายแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งจากมุมมองด้านข้างและชิ้นส่วนนี้ยังนับเป็นชิ้นงานอลูมิเนียมปั๊มขึ้นรูปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมรถยนต์อีกด้วย
เบนท์ลี่ย์ เบนเทย์ก้า ดีเซล คันนี้มากับตัวรถแบบเอสยูวี 5 ประตู 4 ที่นั่ง และยังเอกลักษณ์อันเป็น DNA ของ เบนท์ลี่ย์ สามารถสะท้อนได้จากไฟหน้า LED ทรงกลมสี่ดวงพร้อมกระจังหน้าขนาดใหญ่ลายรังผึ้งพร้อมตัวอักษร B ติดปีกซึ่งโลโก้ติดปีกแบบนี้มาจากที่เจ้าของแบรนด์ชอบขับเครื่องบิน นั่นเอง
จุดเด่นคันนี้อยู่ทีเครื่องยนต์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเอสยูวีที่มีพลังดีเซลที่แรงคันหนึ่งของโลก มากับเครื่องยนต์ V8 triple-charged ความจุ 4.0 ลิตร 32 วาล์ว ให้พละกำลัง 435 แรงม้า (429 bhp) แรงบิด มหาศาลถึง 900 นิวตันเมตร (664 Ib.ft) ทำความเร็วสูงสุดที่ 270 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (168 ไมล์ต่อชั่วโมง) ให้อัตราเร่งสูงสุดจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในระยะเวลาเพียง 4.8 วินาทีเท่านั้น (0-60 ไมล์ต่อชั่วโมงใน 4.6 วินาที ) บวกกับนวัตกรรมเทคโนโลยีพลังงานสะอาดยุคใหม่คือปัจจัยที่ช่วยให้ เบนเทย์ก้า ดีเซล มีอัตราการปล่อยไอเสีย CO2 ต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับเบนท์ลีย์ รุ่นอื่น ๆ และที่สำคัญน้ำมันถังเดียวสามารถวิ่งได้ไกลกว่า 1,000 กิโลเมตร ในความเร็วประมาณ 120-140 กิโลเมตร/ชั่วโมง
นอกจากนี้ยังมีระบบในการขับขี่ให้เลือกใช้ถึง 8 โหมดด้วยกัน ดังนั้นผู้ขับขี่จึงมั่นใจถึงการตอบสนองที่เหมาะสมในทุกสถานการณ์ ทั้งนี้ระบบดังกล่าวจะทำงานร่วมกับระบบ Bentley Dynamic Ride (ควบคุมการทรงตัวด้วย อิเลกทรอนิก 48 v) และระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า EPAS ซึ่งเป็นระบบล่าสุดที่ให้อัตราการตอบสนองต่อผู้ขับขี่ดีขึ้นกว่ารุ่นเดิม พร้อมลดแรงสั่นสะเทือนที่ส่งผ่านมายังพวงมาลัย ทั้งในขณะขับขี่บนทางเรียบและเส้นทางออฟโรดและระบบ EPAS สามารถแปรผันอัตราทดของแร็คพวงมาลัย ส่งผลให้การบังคับควบคุมเป็นไปอย่างเบาแรงและคล่องแคล่วเมื่อใช้งานในช่วงความเร็วต่ำ รวมถึงเพิ่มเติมความหนักแน่น แม่นยำ เที่ยงตรง เมื่อใช้งานขณะใช้ความเร็วสูง
Bentley Dynamic Ride ถือเป็นอุปกรณ์พิเศษ ช่วยป้องกันการโคลงของตัวรถด้วยไฟฟ้า 48v ครั้งแรกของโลกเหมาะสำหรับยานพาหนะขนาดใหญ่ และมีจุดศูนย์ถ่วงที่แตกต่างออกไป การทำงานของระบบดังกล่าวจะช่วยตอนขับเข้าโค้ง มั่นใจได้ถึงหน้าสัมผัสของยางที่ยึดติดกับพื้นถนน ผู้โดยสารสามารถสัมผัสได้ถึงความหนักแน่นนุ่มนวลและมั่นคงให้การบังคับควบคุมที่แม่นยำและง่ายดายยิ่งขึ้น
นวัตกรรมเทคโนโลยีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่น ๆ ยังรวมไปถึงระบบเพิ่มทัศนวิสัยยามกลางคืน Electronic Night Vision อาศัยเทคโนโลยีอินฟราเรดจำแนกสิ่งกีดขวางที่อยู่ด้านหน้าได้อย่างแม่นยำหรือระบบแสดงข้อมูลบนกระจกหน้า ซึ่งสามารถลดการลดสายตาจากถนนของผู้ขับขี่เพื่อให้การขับปลอดภัยมากขึ้น
ภายในห้องโดยสารมีความหรูหรามาก รายละเอียดของรอยต่อระหว่างชิ้นงานไม้และโลหะ แผงคอนโซลนำเอาเอกลักษณ์รูปปีกของเบนท์ลีย์มาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบพร้อมด้วยการตกแต่งและผิวสัมผัสที่สวยงามพาดผ่านจากประตูหนึ่งสู่ประตูหนึ่ง แผ่นไม้ได้รับการคัดเลือกสรรจากไม้ 7 ชนิดผ่านการประดิษฐ์มาจากช่างฝีมือเยี่ยมของเบนท์ลีย์ และนำมาตกแต่งอย่างเป็นเอกลักษณ์ของเบนท์ลีย์ด้วยความใส่ใจในทุกรายละเอียด
ขณะที่เบาะนั่งก็หรูหรา เป็นรูปเพชรตรงเบาะบริเวณหัวไหล่และบั้นเอวเพื่อสะท้อนรูปแบบของการตัดเย็บเสื้อหนังล่าสัตว์ของชาวอังกฤษ ผู้เชี่ยวชาญเบนท์ลีย์จะทำการเลือกหนังวัวคุณภาพเยี่ยม โดยหนังวัวทั้งหมดมีแหล่งกำเนิดมาจากทวีปยุโรปในเขตอาการหนาวเย็น ผ่านการตากแดดตามธรรมชาติและไม่มีการพิมพ์ลาย ลูกค้าสามารถเลือกได้ ได้ตามใจชอบ และการทำหนังสีสลับได้ 3 รูปแบบและสีเดียวอีก 1 รูปแบบ เบาะหนังแถวหลังแบบแยก 2 ที่นั่ง สามารถปรับได้ 18 ทิศทาง พร้อมทั้งระบบนวด ระบบระบายอากาศและที่พักเท้า หลังคาพาโนรามิคที่มีความยาวเต็มพร้อมด้วยวัสดุซับเสียง
เบนเทย์ก้า ถูกติดตั้งระบบสาระบันเทิงแบบจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว ทำหน้าที่ในการแสดงผลการทำงานของระบบสาระบันเทิงภายในรถ แสดงข้อมูลผ่านดาวเทียม พร้อมพื้นที่เก็บข้อมูลบน Hard Drive ที่มีความจุสูงถึง 60 GB และรองรับการทำงานได้มากถึง 30 ภาษา
อุปกรณ์ดังกล่าวข้างต้นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของรถเบนเทย์ก้า เพราะไม่สามารถบรรยายได้หมด หากลูกค้าท่านใดสนใจเดินเข้าโชว์รูมสัมผัสด้วยตนเองจะดีกว่า และจะรู้ว่ารถราคาแพงกว่าราคาบ้าน มันเลิศเลอเพียงใด
สำหรับการทดสอบในครั้งนี้ เป็นการทดสอบเส้นทางสั้นๆ ในเมือง อย่างที่กล่าวข้างต้น ทำให้ไม่สามารถใช้ความเร็วได้ เพราะเจ้าของแบรนด์ต้องการให้สื่อมวลชนทำความรู้จักและสัมผัสเล็กๆ กับอัครรถหรูหรา ที่เร็ว และแรงของเบนท์ลีย์ เป็นอย่างไร
อย่างแรกที่สัมผัสได้ต้องบอกว่า พลังของดีเซลแรงสมคำล่ำลือ ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว ทันใจ แม้ว่า ตัวรถจะหนัก 2 ตันกว่า บวกกับตัวรถที่ใหญ่หากดูภายนอก แต่พอเข้ามาอยู่หลังพวงมาลัยและขับเคลื่อนไป กับรู้สึกว่าขับง่าย คล่องตัว คอนโทรลง่าย ไม่รู้สึกว่าเลยกำลังขับรถคันใหญ่อยู่ พวงมาลัยไม่หนัก ไม่เบา กำลังพอดี ขณะที่เครื่องยนต์เงียบมาก ทั้งที่อยู่ภายในรถและนอกรถ แทบจะไม่ได้ยินเสียงเลย เจ้าหน้าที่ประจำรถเสริมว่า เหตุที่เราไม่ได้ยินเสียงเครื่องดีเซล ก็เพราะทางเบนท์ลีย์เลือกสรรเครื่องมาอย่างดี ความละเอียดของลูกสูบจะมากกว่า ทำให้เสียงของมันละเอียด เลยเงียบ แต่มีความแรง เพราะมีเทอร์โบมา 3 ตัว กำลังจะได้ต่อเนื่อง ดังนั้น ไม่ว่าจะขับขี่ในเมือง หรือต่างจังหวัดที่ต้องใช้ความเร็ว มั่นใจได้เลยว่า ลูกค้าจะประทับใจ
ภายในรถนั่งสบายมาก เบาะดูหรูหรา เนียบ แถมได้กลิ่นหนังวัวกันเลยทีเดียว และได้มีโอกาสใช้บริการนวด งานนี้เลยเพลิน นั่งเป็นคุณนายสบายใจ วัสดุต่างๆ ที่ใช้ในการประกอบดูเรียบหรู แถมเป็นงาน Handmade ตามแบบฉบับรถระดับพรีเมียม
ถึงบรรทัดนี้ก็ต้องขอบอกว่า ด้วยค่าตัวถึง 21,500,000 บาท คงมีแต่อัครมหาเศรษฐีเท่านั้น ที่สามารถจับจองเป็นเจ้าของได้