xs
xsm
sm
md
lg

Ford Ranger Raptor เทพทางฝุ่น นุ่มทางเรียบ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เปิดตัวมาด้วยความฮือฮาระดับ 10 สำหรับ “ฟอร์ด เรนเจอร์ แรพเตอร์” ทั้งสเปคเครื่องยนต์, เกียร์และช่วงล่าง ที่ไม่มีใครเหมือน โดยมีการเปิดตัวครั้งแรกของโลกในเมืองไทย เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เนื่องจาก เจ้ากระบะคันนี้ “ผลิตในประเทศไทย”

หลังจากสร้างความตื่นเต้นระลอกแรกไปแล้ว ยังมีรอบสองด้วยการเปิดราคาที่ 1,699,000 บาท ... มีคำถามตามมาอย่างมากมายหลายข้อ แต่ที่ถามกันมากที่สุด คงเป็นคำว่า “คุ้มหรือไม่” เพื่อตอบคำถามนี้ ทีมงานเอ็มจีอาร์ ออนไลน์ จึงได้ร่วมเดินทางมาทดลองขับ ฟอร์ด เรนเจอร์ แรพเตอร์ กันที่ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นสถานที่ทดสอบจริงในการสร้างเจ้ากระบะทรงพลังคันนี้


เริ่มกันที่จุดแรกโครงสร้างแชสซีส์พัฒนามาจากรุ่น T6 ซึ่งเป็นพื้นฐานเดียวกับรุ่นเรนเจอร์ปกติ แต่ได้รับการออกแบบใหม่ ทั้งขนาดเหล็กที่หนาขึ้น เพิ่มจุดยึดช่วงล่างใหม่และขยายฐานล้อให้กว้างอีก 15 ซม. เรียกง่ายๆ ว่า หากอยากดัดแปลงเรนเจอร์มาเป็นแรพเตอร์ คุณต้องเปลี่ยนแชสซีส์

แชสซีส์ ที่ได้รับการปรับปรุงทั้งหมด เพื่อรองรับช่วงล่างชุดใหม่ที่ให้ ‘ฟอกซ์’ ผู้ผลิตโช้คอัพระดับเทพมาสร้างให้โดยเป็นโช้คอัพรุ่นพิเศษที่ขึ้นเฉพาะแรพเตอร์เท่านั้น ไฮไลต์ อยู่ตรงระบบวาล์วบายพาส ที่ช่วยดูดซับแรงกระแทกสะเทือนเอาไว้ได้อย่างประทับใจ

ขณะที่โครงสร้างตัวถัง แก้มหน้าใช้วัสดุผสมหล่อขึ้นรูปใหม่ทั้งชิ้น เพื่อให้ได้ขนาดตามต้องการแทนการใส่ชุดแต่งเสริมเข้าไป รวมถึงแก้มกระบะท้ายที่ขึ้นรูปให้โป่งออกมา ทำให้ดูดุดันขึ้นอีก




เครื่องยนต์อย่างที่ทราบ เป็น ดีเซล ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ กำลังสูงสุด 213 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ซึ่งเครื่องยนต์และเกียร์ชุดนี้ จะมีประจำการในรุ่นเรนเจอร์ด้วย

สำหรับการทำงานของเทอร์โบนั้น ขออธิบายตรงนี้ จะเริ่มต้นทำด้วยเทอร์โบลูกเล็กที่เป็นแบบแปรผันก่อน และเมื่อแรงดันไอเสียมากพอ วาล์วบายพาสจะตัดการทำงาน ส่งต่อไปให้เทอร์โบลูกใหญ่ ที่เป็นแบบทำงานคงที่ ผลลัพธ์คือความแรงที่ต่อเนื่อง ทั้งรอบต่ำและรอบสูง โดยคงอัตราบริโภคน้ำมันที่ดีเอาไว้ได้ ส่วนตัวเลขเป็นเท่าไหร่ รออ่านตอนท้าย

ดีไซน์ภายในเน้นที่ความสปอร์ต เบาะนั่งเป็นหนังแบบโอบกระชับตัว ปรับไฟฟ้าเฉพาะคนขับ พร้อมการเดินด้ายสีน้ำเงินทั่วทั้งคัน พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน ติดโลโก้ Raptor ด้านล่าง พร้อมแพดเดิลชิฟ เพื่อให้คุณเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างง่ายดาย

ล้อลายพิเศษและยาง ทางฟอร์ด ให้ บีเอฟ กู๊ดริช พัฒนาขึ้นใหม่ที่เป็นรุ่นเฉพาะแรพเตอร์เท่านั้น โดยจากการคุยกับทีมวิศวกรของบีเอฟ เล่าว่า ยางชุดนี้ จะมีโครงสร้างแก้มยางที่แข็งแรงเป็นพิเศษกว่าปกติ 20% ทนต่อแรงกระแทก จะไม่มีทางแตก แม้ใช้งานแบบสมบุกสมบัน เว้นแต่จะกระแทกอย่างแรงกับหินขนาดใหญ่ ซึ่งล้ออาจจะแตกก่อนยางได้ (แต่ก็ยังแบนได้ถ้าถูกของมีคมตำ)


ทางเรียบนุ่ม ทางฝุ่นสบาย

ในส่วนของการขับขี่ทีมงานฟอร์ด เลือกให้เราใช้ถนนหลวงของออสเตรเลียในการขับช่วงแรกจากโรงแรมที่พัก มุ่งหน้าไปยังทริปเปอรินี่ สเตชั่น ซึ่งเป็นสถานที่ทดลองขับในแบบทางฝุ่น

สำหรับช่วงแรกเป็นการจับคู่สลับกันขับ บนถนนลาดยางแบบทางหลวง ความรู้สึกแรก คือ ช่วงล่างนุ่มนวลดี ประกอบกับพื้นผิวถนนของออสเตรเลียนั้น ค่อนข้างเรียบ จึงขับแบบสบายๆ ทีมงานให้เราขับตามกันเป็นขบวน โดยมีรถทั้งหมด 7 คันต่อกรุ๊ป เราอยู่คันสุดท้ายและกลายเป็นหลุดขบวน เนื่องจากติดไฟแดง ซึ่งที่ออสเตรเลียเข้มงวดเรื่องกฎจราจรมาก

การติดไฟแดงเป็นคันแรก มีข้อดีอย่างหนึ่ง คือ ได้ลองออกตัวเหมือนในสนามแข่งแบบเต็มๆ คันเร่งได้ ผลลัพธ์ของ แรพเตอร์ แรงพอดี ไม่เวอร์ ไม่มีอาการดึงให้หลังติดเบาะ เกียร์เปลี่ยนอย่างรวดเร็วและนุ่มนวล บางไฟแดงได้จอดคู่กับ เอเวอร์เรส รุ่น 3.2 ของทีมงาน จึงได้ลองออกตัวพร้อมๆ กันแบบกดเต็มทั้งคู่ แรพเตอร์ กินขาด





จังหวะเร่งแซงย่านความเร็ว 60-100 กม./ชม. คิกดาวน์ มาได้ทันใจ เกียร์จะลดจากเกียร์ 9 มาที่เกียร์ 6 ลงได้รวดเดียวถึง 3 เกียร์ หากคุณกดคันเร่งเพื่อต้องการกำลังแบบทันท่วงที ย่านความเร็วที่เราขับส่วนมากอยู่ราว 80-100 กม./ชม. ตามที่ กม.กำหนด บอกแบบฟันธงว่า คุณจะรู้สึกเป็นรถยนต์นั่ง ไม่เหมือนขับกระบะแน่นอน

เพื่อให้ทันขบวนที่ออกหน้าไปก่อน ทำให้เราต้องขับด้วยความเร็วกว่าคันอื่น ตามการขับนำของรถทีมนำทาง โดยคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก และความเร็วสูงสุดที่เราวิ่งได้ คือ 180 กม./ชม. ช่วงการขับนี้ เราใช้โหมดสปอร์ตตลอดทาง รถค่อนข้างนิ่ง การทรงตัวดี การเก็บเสียงดี เสียงลมประทะมีดังเมื่อวิ่งเกิน 160 กม./ชม. แต่ไม่ชอบที่พวงมาลัยค่อนข้างเบาไปสักหน่อย


มาถึงจุดหมายปลายทาง ทีมงาน แบ่งเราเป็น 3 กลุ่ม เพื่อไปร่วมทดสอบ 3 สถานี โดยจุดแรกชื่อ Red Bank ลองขับเส้นทางวิบากด้วยความเร็วสูง เพื่อลองโหมดบาฮา (Baja) ครูฝึกขับให้ชมทางรอบแรกก่อนที่เราจะเข้านั่งประจำการหลังพวงมาลัย กดคันเร่งออกไปภายใต้โหมดบาฮา แบบขับ 2 ล้อ ถนนเป็นทางลูกรังแบบวิบากเหมือนแถบชนบทของไทย

เราขับด้วยความเร็วสูงแบบไม่ยั้ง หลายช่วงรถสไลด์แบบดริฟท์ไปบ้าง แต่สามารถแก้อาการให้กลับมาอยู่ในทิศทางที่ถูกต้องได้อย่างง่ายดาย และเมื่อผ่านจุดแรกมา เราเปลี่ยนมาเป็นแบบขับ 4 พร้อมใช้โหมด Mud/Sand ลุยโคลนหรือทราย ซึ่งเส้นทางที่ขับมีฝุ่นหนามาก เป็นฝุ่นทราบละเอียดสูงราวครึ่งล้อและมีความลื่นมาก แต่ แรพเตอร์ ไม่ทำให้ผิดหวัง มันสามารถขับผ่านไปได้อย่างฉลุย เรียกว่าถ้าจ่ายเงินไปเพื่อสิ่งนี้... คุ้มค่าแน่นอน …


ถัดมาเป็นเส้นทางแบบคดเคี้ยว มีหินแหลมคม รวมถึงมีหลุมขนาดใหญ่ แบบที่ว่า ถ้าเป็นรถคันอื่นต้องเบาแล้วค่อยๆ หย่อนล้อลงไป แต่สำหรับแรพเตอร์ ทีมงานให้เราขับลุยอย่างรวดเร็ว เดินคันเร่งรักษาระดับความเร็วที่เหมาะสมให้คงที่เอาไว้ แอบเหลือบตาไปมองอยู่แถว 80 กว่ากม./ชม. ขับผ่านมาได้แบบสบายเช่นเดียวกัน

หลังจากนั้นไปลองขับสถานีภูเขาหิน แบบออฟโรดแท้ๆ ใช้โหมด 4L ค่อยๆ ไต่ทางลาดชันขึ้นไปได้ โดยมีระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HLA) แม้หยุดรถระหว่างทางชัน รถก็ไม่ไหลลง ระบบจะช่วยหยุดรอได้ราว 3 วินาที เพื่อให้คุณละเท้าจากแป้นเบรกมาเหยียบคันเร่งได้ทัน รวมถึงเวลาลงทางลาด มีระบบช่วยชะลอความเร็ว (HDC) ปล่อยคันเร่งให้รถไหลลงมาได้อย่างสบายๆ ด้วยความเร็วที่เรากำหนดได้เองระหว่าง 5-30 กม./ชม.

สุดท้ายไปลองของจริงกับการขับแบบความเร็วสูง โดยผู้เขียนโชคดีได้นั่งกับผู้ขับที่เป็นคนพัฒนาแรพเตอร์คันนี้ ลุยกันแบบชนิดที่เหมือนกับเราไปแข่งแรลลี่โลกยังไงยังงั้น ใส่ไม่มียั้ง ทั้งหลุม เนินกระโดด ประหนึ่งบินได้ (แบบที่คุณเห็นในคลิป) ทั้งนี้ผู้พัฒนาแอบบอกความลับเราว่า แท้จริงแล้ว เขาเซตอัพ แรพเตอร์คันนี้มาเพื่อเป็น รถแข่งแรลลี่ รู้แล้วอย่าไปบอกใครนะ

หลังจากนั้น ถึงเวลาขับกลับ เราเปลี่ยนมาขับคัน หมายเลข 5 ซึ่งคันนี้ คือ คันที่นำไปลุยในสถานี Red Bank ขับออกได้ไม่ถึงครึ่งทาง มาตรวัดเตือนให้เติมน้ำมันติดขึ้นมา และเป็นเพียงคันเดียวของทั้งขบวน 14 คัน เนื่องจากเป็นคันที่ขับมากกว่าคันอื่นๆ จึงต้องหลุดขบวนเพื่อแวะเติมน้ำมันอีกครั้ง


นับเป็นประสบการณ์เติมน้ำมันในออสเตรเลียครั้งแรกสำหรับตัวเลขการบริโภคน้ำมันคันแรกที่ขับตอนเช้า ระบุ10.2 กม./ลิตร(ระยะทางราว100 กม.)ส่วนคันนี้หลังเติมแล้วไปดูตัวเลขสุดท้ายที่โรงแรมระบุ 9.8 กม./ลิตรครบทั้งลุยทางวิบากและขับแบบออนโรดธรรมดาทั่วไป





เหมาะกับใคร

ด้วยค่าตัวระดับ 1.7 ล้านบาท ถ้าไม่ใช่พวกที่ใจรักสายลุยก็คงต้องเป็นระดับเศรษฐี ที่อยากมีกระบะไว้ใช้งาน แต่จะเป็นกระบะธรรมดา คงไม่สมฐานะ แรพเตอร์ออกมาได้ตรงกับคนกลุ่มนี้ แต่หากมองในมุมของความคุ้มค่า เทียบสมรรถนะกับราคา บอกได้เลยว่า คุ้ม...เพราะแรพเตอร์ คงเป็นรถสเปครับประกันโรงงานเพียงรุ่นเดียว ที่เมื่อคุณถอยจากโชว์รูมแล้วพร้อมลุยแข่งแรลลี่ได้โดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมและไม่กลัวรถพัง



















กำลังโหลดความคิดเห็น