ว่าด้วยรถในตระกูลของบ็อกซเตอร์ (Boxster) นั้นเริ่มทำตลาดมาตั้งแต่ปี 1996 ในยุคที่ตลาดของรถยนต์สปอร์ตแบบโรดสเตอร์ (2 ที่นั่ง หลังคาเปิดประทุน) กำลังเฟื่องฟู ด้วยขนาดที่เล็กกระทัดรัด คล่องตัวและรูปทรงอันโฉบเฉี่ยวตามสมัยนิยมของยุค 90 ทำให้บรรดาค่ายรถแทบทุกค่ายต่างออกผลิตภัณฑ์ของตัวเองลงสู่ตลาด แน่นอนว่าในแง่ของการแข่งขันย่อมมีทั้งที่หยุดทำตลาดไปและประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ซึ่งปอร์เช่ จัดอยู่ในแบบหลัง
สำหรับ 718 บ็อกซเตอร์ ถือเป็นเจเนอเรชันที่ 4 ของรถในตระกูลนี้ โดยมีคู่หูคือ เคย์แมน (ตัวถังคูเป้ หลังคาแข็ง) ที่ทำตลาดควบคู่กันมาตั้งแต่เจเนอเรชันที่ 2 ซึ่งเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยผ่านทางตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ “เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส” โดยมีการเปิดตัวไปเมื่อปลายปี 2016 รอมาสักพักกว่าที่ทีมงาน เอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง จะได้มีโอกาสทดลองขับอย่างจริงจังเสียที มาชมกันว่าเจ้าตัวเล็กนี้มีทีเด็ดอะไรบ้าง
แรงกว่าเดิม รักษ์โลกมากขึ้น
รูปร่างภายนอก อาจจะเปลี่ยนแปลงไปจากรุ่นเดิมไม่ชัดมากนัก แต่ในเชิงวิศวกรรมแล้ว โฉมนี้มีตัวถังที่ลู่ลมมากขึ้น กระจกบังลมหน้าดีไซน์ใหม่ ด้านข้างเพิ่มช่องดักลมใหญ่ขึ้น เพื่อช่วยระบายความร้อนของเครื่องยนต์ที่วางอยู่กลางตัวรถ สำหรับหลังคาเปิดประทุนเป็นผ้าใบแบบ 4 ชั้น ป้องกันได้ครบถ้วนทั้งเสียงลมและฝน โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเปิยก แต่แน่นอนว่าเสียงดังรบกวนย่อมมากกว่ารถแบบหลังคาแข็งที่ปิดมิดชิด
หัวใจสำคัญของ 718 บ็อกซเตอร์ คงเป็นเรื่องของเครื่องยนต์ ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ทั้งหมด โดยหันมาคบกับเครื่องยนต์ที่มีขนาดความจุเล็กลง เหลือเพียง 2.0 ลิตร ตามสมัยนิยมที่จะลดขนาดความจุ แต่เพิ่มเทคโนโลยีเข้าไป เพื่อให้ได้ผลลัพท์ที่ดีขึ้นทั้งในแง่ของพละกำลัง มากกว่ารุ่นก่อนหน้า 35 แรงม้า และการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่ทุกค่ายรถต่างตระหนักถึงเป็นลำดับแรก โดยก๊าซ Co2 ลดลงจาก 180 เหลือเพียง 158 กรัม/กม. (ในรุ่นมาตรฐาน)
ทางเลือกมาตรฐานมากับขนาด เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร เทอร์โบกำลังสูงสุด 300 แรงม้า แรบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร ซึ่งเป็นคันที่เราได้ทดลองขับในครั้งนี้ ส่วนอีก 2 ทางเลือกรุ่น บ็อกซเตอร์ เอส บรรจุเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร เทอร์โบแปรผัน กำลังสูงสุด 350 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเมตร และรุ่น บ็อกซเตอร์ จีทีเอส เครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร เทอร์โบแปรผัน กำลังสูงสุด 365 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ทุกรุ่นส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ พีดีเค 7 สปีด
การออกแบบภายในยังคงสไตล์ความเป็นรถในแบรนด์ปอร์เช่ ที่จะอิงรูปแบบมาจาก 911 โดยมาปรับรายละเอียดให้เหมาะสมกับตัวรถ แต่ลักษณะของการจัดวางและการใช้งานจะคล้ายคลึงกัน ดังนั้นถ้าบ้านไหนมีปอร์เช่อยู่แล้ว ก็จะเป็นเรื่องง่ายในการทำความเข้าใจกับฟังก์ชันการใช้งานที่มีค่อนข้างเยอะ
จุดเด่นของภายในเราขอยกให้ เบาะนั่ง ที่นั่งแล้วยังรู้สึกสบาย ด้วยขีดจำกัดของขนาดตัวถัง ที่เป็นรถสปอร์ตขนาดเล็ก ทัศนวิสัยชัดเจนในระดับดีสำหรับรถสปอร์ต รวมถึงจัดวางในตำแหน่งที่เหมาะสม ให้ความสนุกในการขับขี่ได้อย่างลงตัว ขับทางไกลยาวๆ พอได้ สบายอยู่ (เว้นแต่เจอถนนหนทางที่ไม่เรียบ) แต่บางท่านอาจจะไม่ชอบเพราะมันเหมือนนอนขับเลยก็ว่าได้
หลังติดเบาะ เร่งเร้าใจ แต่สะเทือนมาเต็ม
การทดลองขับของเราแบบวันเดียวจบนั้น ทำให้เราเลือกเส้นทางในเมืองและวิ่งรอบนอกขอบกรุงเทพฯ เป็นหลัก หลังขึ้นประจำตำแหน่งขับออกจากโชว์รูมที่ถนนวิภาวดี ท่ามกลางการจราจรที่เป็นจราจล เสียงคำรามของเครื่องยนต์แบบ 4 สูบนอนยันนั้นฟังแล้วก็ไพเราะเสนาะหูสำหรับคนชอบความสปอร์ตอย่างผู้เขียน แต่ถ้าไม่ชอบให้ข้ามไปได้เลย
มุมมองและทัศนวิสัย สไตล์สปอร์ต เตี้ยแทบจะติดพื้นถนน แต่ไม่มีปัญหาในการเปลี่ยนเลนหรือมุมอับ กระจกบานหน้ากว้างและสูงในระดับพอดีสำหรับผู้เขียนที่มีขนาดความสูง 173 ซม. ส่วนคนที่ตัวใหญ่กว่านี้ ห้องโดยสารอาจจะอึดอัดอยู่บ้างและท่านั่งจะเปลี่ยนไปพอสมควร
ความสนุกในการขับขี่คือสิ่งที่ประทับใจที่สุดของเจ้า 718 บ็อกซเตอร์ คันนี้ ด้วยอัตรเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 4.9 วินาที นั้นเพียงพอที่จะทำให้หลังของเราติดเบาะ และอดีนาลีนหลั่งออกมาได้อย่างสบายๆ การทรงตัวนิ่งดี ไม่แพ้รุ่นพี่อย่าง 911 แต่จะมีเรื่องของการดูดซับแรงสะเทือนที่บ็อกซเตอร์ จะสะท้อนสภาพพื้นผิวถนนชัดเจนมาก
การขับยาวๆ เป็นระยะทางไกล กว่า 100 กม. มีครบทั้งฝ่ารถติดหนักๆ ในเมืองและทางโล่งๆ ย่านมอเตอร์เวย์ ผู้เขียนยังรู้สึกขับสบาย แต่ก็จะมีเพียงเรื่องของแรงสะเทือน เมื่อต้องเจอกับสภาพผิวถนนที่ขรุขระหรือเป็นเนิน ไม่ราบเรียบ เราต้องระวังมากเป็นพิเศษ เนื่องจากแรงสะเทือนจะมาถึงตัวเราค่อนข้างเต็ม ตามลักษณะของตัวรถ
ระบบการส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีดแบบ PDK ไหลลื่นต่อเนื่อง ให้การขับขี่ที่สนุกสนานครบอรรถรส หากอยากเล่นแบบเกียร์ธรรมดาก็สามารถทำได้เพียง ใช้แพดเดิพชิพที่หลังพวงมาลัย รวมถึงชุดสปอร์ตโครโน แพคเกจ ที่มีฟังก์ปรับเปลี่ยนรูปแบบการขับขี่ 3 แบบ Normal, Sport และ Sport Plus
ความเร็วที่เราใช้ขับส่วนใหญ่อยู่ราว 90 กม./ชม. ในทางรอบเมือง ส่วนในเมืองนั้น ขออนุญาตใช้คำว่า คลานไปตามจังหวะสัญญาณไฟจราจร เร็วสุดไม่เกิน 50 กม./ชม. แน่นอน ส่วนความเร็วสูงสุดที่เราลองในช่วงทางโล่งและปลอดภัย แตะถึง 160 กม./ชม. ได้แบบมั่นใจ มีเพียงเสียงลมรบกวน ส่วนการเกาะถนน หนึบแน่น และเบรกเอาอยู่แบบอุ่นใจได้ 100%
อัตราการบริโภคน้ำมันเฉลี่ย ตามสเปคระบุไว้ที่ 14.49 กม./ลิตร ส่วนการขับตามแบบที่เราบรรยายไปคือ ทั้งขับเร็วและขับท่ามกลางการจราจรติดขัดหนาแน่น ตัวเลขหน้าจอแสดงผล 8.2 กม./ลิตร บอกตามตรงถือว่า รับได้ เทียบเท่ากับค่าเฉลี่ยการใช้งานจริงของรถยนต์แบบอื่นๆ ที่ใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร ถือว่าพอๆ กัน
เหมาะกับใคร
ด้วยราคาค่าตัวเริ่มต้นที่ 6,800,000 บาท สำหรับรุ่นมาตรฐาน แลกกับโรดสเตอร์ นั่งได้ 2 คน ลูกค้าเป้าหมายจึงเป็นกลุ่มคนโสด ที่ชื่นชอบสมรรถของรถสปอร์ตสไตล์เยอรมัน อยากได้อารมณ์การขับแบบปอร์เช่แท้ แต่งบไม่ถึงรุ่นใหญ่อย่าง 911 จึงหันมามอง 718 บ็อกซเตอร์ ก็เพียงพอจะตอบสนองอารมณ์สนุกได้ไม่น้อยหน้าใคร