ค่ายรถจักรยานยนต์ “ยามาฮ่า” ปลื้มสินค้าใหม่โดนใจผู้บริโภค เผยยอดขาย 5 เดือนแรกประจำปี 2561 เพิ่มขึ้น 2.7 เปอร์เซ็นต์ ชี้ตลาดรวมยังแผ่ว เหตุราคาพืชผลตกต่ำ-กำลังซื้อต่างจังหวัดชะลอตัว เชื่อครึ่งปีหลังมีโอกาสฟื้น ล่าสุด ประกาศขยายธุรกิจรุกตลาดรถกอล์ฟ ดันไทยฐานผลิตและจำหน่าย พร้อมส่งออกกว่า 10 ประเทศ ลั่นภายในปี 2565 ขยับขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งของโลก
สองล้อ 5 เดือนติดลบ 2.7 เปอร์เซ็นต์
“ตลาดรวม 5 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-พ.ค.2561) ยังคงไม่ฟื้นตัวดีนัก จากตัวเลขยอดขายอยู่ที่ประมาณ 755,000 คัน หรือติดลบ 2.7 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีก่อน มียอดขายอยู่ที่ประมาณ 775,000 คัน”
คำกล่าวอัพเดตสถานการณ์ล่าสุดของตลาดรถจักรยานยนต์เมืองไทย โดย จินตนา อุดมทรัพย์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ให้สัมภาษณ์ในงานแถลงข่าวการขยายธุรกิจสู่ตลาดรถกอล์ฟของยามาฮ่า
“ปัจจัยลบต่างๆ จากสภาพเศรษฐกิจ ได้แก่ ราคาพืชผลที่ยังตกต่ำ โดยเฉพาะราคายาง ส่งผลให้กำลังการซื้อในเขตพื้นที่ต่างจังหวัดลดลง อย่างไรก็ตาม ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลยังคงทรงตัว นั่นจึงทำให้ยอดขายของยามาฮ่าในพื้นที่นี้ ซึ่งมีสัดส่วนถึง 30 เปอร์เซ็นต์จากทั้งหมด ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก”
ยามาฮ่าปลื้มยอดโตสวนตลาด
“นอกจากไม่ลดลงแล้ว ในภาพรวมยามาฮ่ากลับมียอดขายที่เติบโตขึ้นสวนทางตลาด เดือนมกราคมถึงพฤษภาคมปีนี้ ทำได้ประมาณ 117,000 คัน เพิ่มขึ้น 2.7 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งยังมีส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นเป็น 15.5 เปอร์เซ็นต์ จากปีก่อนที่ทำได้ 14.7 เปอร์เซ็นต์”
รองประธานกรรมการบริหาร ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ กล่าวต่อว่า ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ รุ่นฟินน์ ที่เข้ามาเติมเต็มกลุ่มรถครอบครัว รวมถึงประเภทออโตเมติกพรีเมียมและกลุ่มสปอร์ต โดยเฉพาะรุ่นเอ็กซ์แม็กซ์ 300 และอาร์15 ต่างได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มผู้บริโภคเมืองไทย
ขณะเดียวกันตลาดรวมในครึ่งปีหลังเชื่อว่าจะมีแนวโน้มดีขึ้น ด้วยทิศทางของสภาพเศรษฐกิจ การรุกทำกิจกรรมเข้าถึงพื้นที่การขาย และการเปิดตัวรถใหม่ของทุกยี่ห้อ
เดินหน้ารุกตลาดรถกอล์ฟ
จินตนา อุดมทรัพย์ กล่าวว่าสำหรับการแถลงข่าวขยายธุรกิจสู่ตลาดรถกอล์ฟในครั้งนี้ บริษัทต้องการชูจุดแข็งด้านมาตรฐานการผลิตของโรงงานในเมืองไทยและคุณภาพบริการหลังการขาย ภายใต้สโลแกน “Drive to be No.1” ตั้งเป้าเติบโต 15 - 20% ภายใน 3 ปี พร้อมทะยานขึ้นเบอร์หนึ่งในไทยและส่งออกสู่ตลาดโลกกว่า 10 ประเทศ
ทั้งนี้ บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด เปิดตัวธุรกิจรถกอล์ฟด้วยการผลิตและจัดจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการนับตั้งแต่ปลายปี 2558 โดยวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับพรีเมี่ยม จนถึงปัจจุบัน รถกอล์ฟ ยามาฮ่า วายดีอาร์ ครูซ (Yamaha YDR Cruise) ได้ถูกผลิตในเมืองไทยเพื่อจำหน่ายทั้งในประเทศและส่งออกไปยังต่างประเทศแล้วไม่ต่ำกว่า 4,000 คัน ในกว่า 10 ประเทศทั่วโลก ได้แก่ ญี่ปุ่น, มาเลเซีย, สิงค์โปร์, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, เวียดนาม, เมียนมาร์, อินเดีย, ปากีสถาน และมัลดีฟส์ เป็นต้น ขณะเดียวกันยังเตรียมขยายตลาดไปอีก 2 ประเทศในอาเซียนอย่างลาวและกัมพูชาในปีนี้และปีถัดไป เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของตลาดรถกอล์ฟอีกด้วย
“ปัจจุบันความต้องการเปลี่ยนรถกอล์ฟใหม่ เพื่อใช้งานในสนามกอล์ฟทั่วประเทศไทย มีอยู่ ราว 4,000 คันต่อปี คิดเป็นมูลค่าตลาดประมาณ 760 ล้านบาทต่อปี ซึ่งในตลาดมีแบรนด์หลักๆ ที่มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ไม่กี่แบรนด์ ประกอบกับธุรกิจรถกอล์ฟสามารถอำนวยความสะดวกและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบันได้หลากหลายรูปแบบมากขึ้น เห็นได้ว่าในปัจจุบันรถกอล์ฟไม่ได้ถูกใช้งานแค่ในสนามกอล์ฟเท่านั้น แต่กลับมีความต้องการนำมาใช้ในธุรกิจประเภทอื่นๆ อาทิ ธุรกิจการท่องเที่ยว, โรงแรม, รีสอร์ทและธุรกิจด้านบริการต่างๆ นอกจากนี้ยังขยายมาถึงภาคธุรกิจอุตสาหกรรม, นิคมโรงงาน อสังหาริมทรัพย์และภาคธุรกิจอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสทีดีที่ธุรกิจรถกอล์ฟจะสามารถขยายฐานตลาดให้กว้างขวางมากขึ้น” บอสไทยยามาฮ่ามอเตอร์กล่าว
ประเดิมเครือข่ายขายพ่วงบิ๊กไบค์
ขณะที่รูปแบบการทำตลาด ยามาฮ่าแต่งตั้งบริษัท ภราพัช อิเล็คโทรโมทีฟ จำกัด เป็นผู้จำหน่ายเพื่อทำตลาดในธุรกิจสนามกอล์ฟทั่วประเทศ ขณะที่ในกลุ่มธุรกิจประเภทอื่นๆ ค่ายส้อมเสียงจะเป็นผู้ดำเนินการเอง โดยเบื้องต้นมีแผนวางจำหน่ายรถกอล์ฟพร้อมการให้บริการหลังการขายภายใต้เครือข่าย “ยามาฮ่า ไรเดอร์ คลับ” ซึ่งเป็นศูนย์จำหน่ายและบริการรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ของยามาฮ่า ปัจจุบันมีจำนวน 12 แห่ง และภายในปีนี้มีแผนขยายเพิ่มอีก 3 แห่ง
“ในปัจจุบันตลาดรถกอล์ฟเป็นที่ต้องการจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีหลากหลาย แบรนด์ที่ได้เข้ามาทำการตลาดในประเทศไทย อีกทั้งยังมีการนำเข้ารถกอล์ฟที่ประกอบในประเทศจีน เพื่อลดต้นทุนและสร้างความได้เปรียบทางการค้า เพื่อจัดจำหน่ายในประเทศไทย แต่รถกอล์ฟภายใต้แบรนด์ยามาฮ่า นั้นเป็นที่รู้จักและยอมรับจากทั่วโลกในผลิตภัณฑ์หลายๆ ด้าน เราจึงมั่นใจในเรื่องคุณภาพและการบริการหลังการขาย ซึ่งถือเป็นจุดแข็งและข้อได้เปรียบทางการค้า”
เป้าหมายขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งตลาดโลก
แม่ทัพใหญ่ค่ายส้อมเสียงเผยถึงเป้าหมายของยามาฮ่ากับการดำเนินธุรกิจรถกอล์ฟว่า นอกจากต้องการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดให้สูงขึ้น จากเดิมที่อยู่ราว 8-10 เปอร์เซ็นต์ ภายใน 3 ปี เพิ่มขึ้นเป็น 15-20 เปอร์เซ็นต์ สำหรับตลาดในเมืองไทยแล้ว ภายใต้สโลแกน “Drive to be No.1” ยามาฮ่ายังต้องการขยับขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งของตลาดโลกด้วย
“ปัจจุบันส่วนแบ่งตลาดรถกอล์ฟยามาฮ่าในอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของโลก มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 30 เปอร์เซ็นต์ ในญี่ปุ่นมีแชร์อยู่ที่ 88 เปอร์เซ็นต์ ส่วนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อยู่ที่ 20-30 เปอร์เซ็นต์ โดยเป้าหมายของบริษัทแม่ต้องการขยับสัดส่วนในทุกตลาดเพิ่มขึ้นมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2565 หรือขึ้นเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายรถกอล์ฟเบอร์หนึ่งของโลก” รองประธานกรรมการบริหาร ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ กล่าวสรุป.