เมื่อแรกเปิดตัวจำหน่ายในปี ค.ศ. 1989 เลกซัส อีเอส ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อลุยกับคู่แข่งในเซกเมนท์ พรีเมียม คอมแพค เช่นเดียวกับ เมอร์เซเดส เบนซ์ ซี-คลาส, บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ย์ 3 และ อาวดี้ เอ4 แต่แล้ว เมื่อ ไอเอสถือกำเนิดขึ้น อีเอส จึงมีการขยับขนาดตัวถังให้ใหญ่ขึ้น เพื่อมาต่อกรในระดับ มิดไซด์
ผลลัพธ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดใน เจนเนอเรชันที่ 6 ซึ่ง อีเอส ทำยอดขายได้มากกว่า 200,000 คันทั่วโลก เป็นโมเดลขายดีลำดับที่ 2 ของเลกซัส รองลงมาจากรุ่น อาร์เอ็กซ์ ทั้งนี้เมื่อเลกซัส เผยโฉม อีเอส เจนเนอเรชั่นที่7 ออกมา ทีมงาน เอ็มจีอาร์ มอเตอร์ริ่ง จึงไม่พลาดที่จะไปหาคำตอบว่า โฉมใหม่นี้มีทีเด็ดอย่างไรบ้าง
แชสซีส์และเครื่องยนต์ใหม่หมด
โครงสร้างตัวถังของ อีเอส นั้นอย่างที่ทราบกันทั่วไปว่าอาศัยการพัฒนาร่วมกับพื้นฐานของ คัมรี่ แต่สำหรับเจนเนอเรชันที่ 7 นี้ ถูกพัฒนาขึ้นในชื่อของ GA-K ภายใต้กระบวนการคิด TNGA (Toyota New Global Architecture)
ผลลัพธ์ที่ได้คือ ตัวถังที่ยาวขึ้นกว่ารุ่นเดิม 65 มม. กว้างขึ้น 45 มม. และเตี้ยลง 5 มม. โดยฐานล้อหน้าขยายออก 10 มม. และฐานล้อหลัง 30 มม. ซึ่งทั้งหมดทำเพื่อการขับขี่ที่ดีและเงียบขึ้นกว่าเดิม
สำหรับการออกแบบภายนอก อาศัยแนวร่วมผสมผสานระหว่างเรืออย่างรุ่น แอลเอส และ สปอร์ตคูเป้ แอลซี เข้าไว้ด้วยกัน จุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ ไฟหน้าแอลอีดีแบบ L เชฟ ในแง่ของความสวยงาม ปกติเราจะไม่ขอวิจารณ์แต่คันนี้ขอชมว่า สวยโดนใจผู้เขียนจริงๆ
ขณะที่การออกแบบภายในห้องโดยสาร มองครั้งแรกแทบจะถอดแบบมาจากแอลเอส แต่มีขนาดเล็กกว่า ทั้งการจัดวางตำแหน่งของปุ่มต่างๆ และสีสันของวัสดุ โดยมีทางเลือกเพิ่มขึ้นมาเป็น 4 สี (สเปคไทย อาจจะมาไม่ครบทุกสี)
ส่วนเครื่องยนต์ เป็นเวอร์ชั่นใหม่ทั้งหมด ในตลาดโลกมีด้วยกัน 4 แบบ แต่รุ่นที่จะนำเข้ามาจำหน่ายในเมืองไทยมีเพียง ไฮบริด เท่านั้น โดยเป็นเครื่องยนต์ไฮบริด เจนเนอเรชันที่ 4 แบบแอตคินสันไซเคิล ขนาด 2.5 ลิตร 4 สูบ เบาและเล็กลงกว่าเดิม กำลังสูงสุด 215 แรงม้า
แบตเตอรี่ ยังคงเป็นแบบ นิเกิล เมทัลไฮไดร์ แต่ถูกย้ายตำแหน่งการวางใหม่มาอยู่ใต้เบาะที่นั่งผู้โดยสาร เนื่องจากแบตเตอรี่มีขนาดเล็กลงทำให้ได้พื้นที่เก็บของในฝากระโปรงท้ายมากขึ้น และยังส่งผลให้การกระจายน้ำหนักของตัวรถสมดุลขึ้น
เงียบจริง หนึบมั่นใจ
ในส่วนของการทดลองขับ เราบินข้ามทวีปนับพันไมล์เพื่อมาลองเจ้า อีเอส ใหม่อย่างเต็มที่ ทีมงานเลกซัสจัดเตรียมเส้นทางการขับไว้ที่เมืองแนชวิล รัฐเทนเนสซี่ ประเทศสหรัฐอเมริกา
จุดเริ่มต้นจากโรงแรมที่พักมุ่งหน้าไปยัง สนามกอล์ฟระยะทางราว 50 ไมล์(80กม.) การเดินทางอาศัยระบบแผนที่นำทางในรถของอีเอส สารภาพตามตรงทีแรกค่อนข้างหวั่นใจมาก เพราะกลัวหลง แต่เมื่อได้ใช้งานจริง ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่า แม่นยำ ดีเยี่ยม
ความรู้สึกแรกหลังนั่งประจำการในตำแหน่งคนขับ ทุกฟังก์ชันออกแบบมาได้ลงตัวให้ผู้ขับใช้งานง่าย ทีมงานจัดให้ผู้สื่อข่าว 1 คนต่อ อีเอส 1 คัน แต่คันของเราได้รับเกรียติจากผู้บริหารเลกซัสของไทยร่วมนั่งไปด้วย รถยนต์ในอเมริกานั้นเป็นพวงมาลัยซ้าย ขับชิดขวา ซึ่งจะตรงข้ามกับบ้านเรา แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาในการขับขี่ กดคันเร่งออกตัวไปค่อนข้างนุ่มนวล พวงมาลัยน้ำหนักค่อนข้างหน่วงเล็กน้อยไม่ถึงกับเบาหวิว แม้จะเป็นพวงมาลัยไฟฟ้า EPS ก็ตาม
ช่วงแรกของการขับเป็นถนนในเมืองที่การจราจรไม่ถึงกับหนาแน่น มีติดไฟแดงบ้าง จังหวะออกตัวพุ่งและตอบสนองทันใจดี ต้องขอบคุณระบบไฮบริดที่สร้างความโดดเด่นในจุดนี้ ขณะที่น้ำหนักของแป้นเบรกพอดี ไม่ตื้นจนทำให้เบรกแล้วหัวทิ่มแต่อย่างใด
ความเร็วที่เราใช้งานช่วงนี้อยู่ราว 50 ไมล์/ชั่วโมง (80กม./ชม.) ตามที่กฎหมายกำหนด ความเงียบของห้องโดยสารคือสิ่งที่เราประทับใจที่สุด แม้การติดเครื่องยนต์จอดนิ่งจะเงียบอยู่แล้วตามสไตล์รถไฮบริด แต่เมื่อออกตัวขับเคลื่อนไป ยังคงความเงียบได้อย่างประทับใจจริงๆ
ทั้งนี้ต้องขอบคุณทีมวิศวกรที่เลือกใช้พรมที่มีคุณสมบัติดูดซับเสียงได้เป็นอย่างดีถึง 3 ชั้น พร้อมกับการเพิ่มขนาดให้คลอบคลุมทั้งพื้นห้องโดยสายทั้งหมด รวมถึง การออกแบบล้ออัลลอยด้วยเทคโนโลยีใหม่ลดเสียงดังรบกวนจากยางวิ่งบดพื้นถนนได้ ทำให้ผลลัพธ์การป้องกันเสียงรบกวนออกมาดีเยี่ยมเช่นนี้
เมื่อถึงจุดหมาย ทีมงานให้สลับสับเปลี่ยนรถได้ แต่น่าเสียดายที่ประเทศไทยจะทำตลาดด้วยเครื่องยนต์แบบไฮบริดเพียงอย่างเดียวดังนั้นเราจึงได้รับอนุญาตให้ขับเฉพาะคันที่เป็นไฮบริด เท่านั้น โดยในช่วงนี้เราได้ลองขับโฉมก่อนหน้าเพื่อเปรียบเทียบด้วย ชัดเจนมากในเรื่องของความเงียบที่รุ่นใหม่เงียบกว่า ส่วนการตอบสนองโฉมใหม่ทันใจและนิ่งกว่า แน่นอนเพราะเป็นเครื่องยนต์ใหม่
เราสลับขับอีกสองคัน รวมวิ่งไปด้วยระยะทางกว่า 100 ไมล์ ความเร็วสูงสุดที่ลองขับได้คือ 105 ไมล์/ชม.(ราว170กม./ชม.) เสียงลมประมะเข้ามารบกวนบ้างเล็กน้อย แต่หากวิ่งด้วยที่ต่ำกว่า 80 ไมล์/ชม. รับประกันความเงียบได้เลย
สำหรับการทรงตัวนั้น อุ่นใจในทุกย่านความเร็ว การเข้าโค้งเกาะถนนดีเยี่ยม แม้ว่าจะเป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้า แต่หากไม่บอกก็แทบจะไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง เว้นเสียแต่จะเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง อาการของรถจะบอกเองว่าเป็นรถขับหน้าหรือขับหลัง
อย่างไรก็ตาม คันที่เราขับเป็นสเปคอเมริกา ซึ่งได้รับการติดตั้งโช้คอัพตัวใหม่ ที่มีเทคโนโลยีล่าสุด “สปริงวาล์ว2ชั้น” ให้การทรงตัวที่ดีกว่า ส่วนสเปคที่จะขายในไทยอาจจะไม่ได้ใช้โช้คอัพเทพตัวนี้ ส่วนจะเป็นอย่างไรต้องรอตอนเปิดตัวอย่างเป็นทางการในไทยก่อน
หลังจากเราได้ลองขับจนเป็นที่สาแก่ใจแล้วถึงเวลากลับที่พัก ทีมงานจัดให้เราลองนั่งทางด้านเบาะหลังดูบ้าง ความรู้สึกสบายไม่แตกต่างจากการเป็นคนขับที่เบาะหน้า เสียดายเพียงคันของเราปรับเบาะหลังเอนไม่ได้แต่บางคันปรับได้ ถามผู้บริหารบอกว่า เบาะหลังปรับเอนได้เป็นออพชัน ซึ่งเวอร์ชั่นไทยจะมีด้วยเช่นกัน
เหมาะกับใคร
ด้วยการเป็นรถนำเข้าสำเร็จรูปทั้งคัน ทำให้สนนราคาค่าตัวของ เลกซัส อีเอส300เอช จะอยู่ที่ระดับ 4 ล้านบาท กลุ่มเป้าหมายจึงเป็น ผู้บริหารรุ่นใหม่ที่อยากหนีความจำเจจากแบรนด์ยุโรป กับความคล่องตัวที่สะดวกทั้งขับเองหรือนั่งโดยสารด้วยความเงียบในระดับที่หากได้ลองต้องประทับใจอย่างแน่นอน