ว่าด้วยตลาดรถแบบเอนกประสงค์นับวันมีแต่จะเติบโตและได้รับความนิยมอย่างสูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นแบบ SUV หรือ PPV ที่แทบจะไม่แยกออกจากกันแล้ว เนื่องด้วยลักษณะของการใช้งานของผู้บริโภคและราคาที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกันด้วย ดังนั้น จึงไม่แปลกใจที่แต่ละค่ายงัดกลยุทธ์ทุกกระบวนท่านำมาใช้แบบจัดเต็ม

หนึ่งในหัวเรือใหญ่ของเซกเมนท์นี้ในฐานะ เจ้าตลาด “โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์” ขยับเพิ่มลูกเล่นใหม่ล่าสุดใส่เข้ามาเป็นพิเศษสำหรับรุ่น 2.8V ทั้งตัวขับเคลื่อน 4 ล้อและ 2 ล้อ สำหรับโมเดลที่จำหน่ายตั้งแต่ปี 2018 นี้ เป็นต้นไป ซึ่งทีมงานเอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง ได้มีโอกาสทดลองขับเจ้า ฟอร์จูนเนอร์ 2.8V ตัวขับเคลื่อน 2 ล้อ (Telematics) แบบหนำใจจึงอยากมาเล่าให้ฟัง

2018 เพิ่ม T-Connect Telematics รถหายตามได้ชัวร์
สำหรับจุดเด่นของรุ่นปรับปรุงโฉมใหม่อย่างที่เราทราบกันดีนั่นก็คือ การติดตั้งระบบดิสก์เบรก 4 ล้อ คือ ล้อหลังเปลี่ยนจากดรัมเบรกมาเป็นดิสก์เบรก ตามคำเรียกร้องของลูกค้าที่อยากให้ ฟอร์จูนเนอร์ ใส่ให้เป็นอุปกรณ์มาตราฐานมาจากโรงงาน ซึ่งโตโยต้า ตอบรับความต้องการดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดที่สุดขณะที่อีกหนึ่งจุดที่เปลี่ยนแปลง แต่จะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา จะต้องลองสัมผัสเองเท่านั้น นั่นก็คือ ระบบช่วงล่างที่ทางทีมวิศวกรโตโยต้าบอกว่า เซตอัพ ใหม่หมดทั้งโช้คอัพและสปริง นัยว่า เพื่อให้การขับขี่มีความมั่นคง และรถวิ่งได้นิ่งกว่ารุ่นก่อนหน้า ซึ่งผลลัพทธ์จะเป็นอย่างไร เรามีคำตอบให้

ส่วนจุดเด่นที่เพิ่มเติมเข้ามาในโมเดลปี 2018 ที่ต้องกล่าวถึงคือ ระบบ T-Connect Telematics ระบบที่ช่วยให้เราสามารถติดตามรถของเราได้อย่างง่ายดายเพียงปลายนิ้วสัมผัส ผ่านทางแอพพลิเคชั่น Find My Car ขั้นตอนก่อนการใช้งานอาจจะใช้รายละเอียดพอสมควร แต่เพื่อความปลอดภัยจำเป็นต้องทำ แนะนำว่าให้เซลล์จัดการให้ทั้งหมด ซึ่งเมื่อเราลงทะเบียนเสร็จเรียบร้อย จนได้รหัสมาใช้งานแล้ว คราวนี้ก็ง่าย แล้วจะกล่าวถึงในส่วนของการทดลองใช้งาน
หัวใจของ ฟอร์จูนเนอร์ รุ่น 2.8V ยังคงคบหากับเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.8 ลิตร รหัส 1GD-FTV พกพากำลังระดับ 177 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ด้านความปลอดภัยมาครบทั้ง
ABS,BA,EBD,VSC,TRC (A-TRC ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ),HAC และถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง ครบถ้วนในรถระดับนี้

ห้องโดยสารคือจุดเด่นที่สุดประการหนึ่งของฟอร์จูนเนอร์ ด้วยความกว้างขวางและนั่งสบายทั้งเบาะหน้าและเบาะแถวสอง ส่วนเบาะแถวที่สาม นั่งได้แบบพอดีตัว ที่สำคัญเบาะแถวสามที่หลายคนสงสัยว่าทำไมจึงไม่ทำแบบพับเก็บราบไปกับพื้นห้องโดยสาร คำตอบจากวิศวกรคือ เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร อันเป็นผลมาจากการออกแบบโครงสร้างตัวถังนั่นเอง ส่วนการพับเก็บก็ง่ายเบามือ ใช้มือข้างเดียวยกเก็บได้สบาย

ช่วงล่างนิ่ง เบาะหลังหลับสบาย
ในส่วนของการทดลองขับนั้น คราวนี้เราขอเน้นที่การใช้งานในเมืองเป็นหลักและมีขับออกนอกเมืองบ้างตามลักษณะการใช้งานที่เหมาะสมของตัวรถแบบนี้ ความรู้สึกแรกเมื่อประจำการหลังพวงมาลัย แน่นอน ทุกคนต้องสูงและใหญ่มาก ใช่ มันสูงและกว้างใหญ่จริงๆ ข้อดีคือ ทัศวิสัยที่ชัดเจน ข้อตรงข้ามคือ กะระยะยาก ใช้งานในเมืองจะไม่คล่องตัว แท้จริงเป็นอย่างไร เราไปพิสูจน์กัน
ผู้เขียนตะเวนขับเจ้าฟอร์จูนเนอร์ เฉพาะในกลางเมืองล้วนๆ เส้นสีลม สาทร สุขุมวิท สามเสน พระรามสี่ รวมเป็นระยะทางกว่า 100 กม. ขอฟันธงแบบไม่กลัวธงหัก ฟอร์จูนเนอร์ ใช้งานได้ดี อาจจะไม่คล่องตัวเท่ารถเล็ก แต่ด้วยทัศนวิสัยที่ดีทำให้มุมมองต่างๆ นั้นชัดเจน จึงไม่ต้องห่วงเวลาเจอการจราจรหนาแน่น จะมีบ้างในลานจอดรถที่มีช่องค่อนข้างแคบจะเป็นปัญหาเวลาเปิดประตู แต่ในแง่การขับถอดจอด สบายด้วยกล้องมองหลังที่มีตารางวัดระยะช่วยได้ดีมาก

จุดเด่นอีกประการที่ไม่อาจจะละเลยได้คือ ช่วงล่างที่โตโยต้าบอกว่าปรับปรุงใหม่แล้วนั้น จากใจผู้เขียน ย้ำคำเดิมเหมือนเมื่อครั้งได้ลองรอบแรกในรุ่น 2.4V ขับเคลื่อนสี่ล้อ ที่นั่งแล้วขับแล้ว รู้สึกถึงการทรงตัวที่นิ่งขึ้น การดูดซับแรงสะเทือนทำได้ดีกว่าเดิม รวมถึงการวิ่งด้วยความเร็วสูงระดับ 140 กม./ชม. ขับนิ่งแบบชิลๆ ซึ่งขอแนะนำให้ไปทดลองเองแล้วจะเข้าใจว่า นิ่งขึ้นเป็นอย่างไร
สิ่งที่ผู้เขียนชอบเป็นพิเศษ คือ การออกแบบภายในห้องโดยสาร คุณภาพของวัสดุและฝีมือในการประกอบรถ ให้ความรู้สึกที่ประหนึ่งเป็นรถหรู ตรงจุดนี้ต้องยอมรับว่า โตโยต้า พัฒนาคุณภาพขึ้นมาได้อีกสเตป ขณะที่การเพิ่มระบบ T-Connect Telematics เข้ามาในรุ่นนี้ ทำให้ ฟอร์จูนเนอร์ เด่นขึ้นมาทันที นั่นเพราะว่า..

เจ้าระบบ T-Connect Telematics ที่เราได้ทดลองใช้แบบเต็มๆ ประหนึ่งว่าเป็นเจ้าของรถเอง ใช้งานง่าย โดยจะต้องใช้งานควบคู่ไปกับแอพพลิเคชั่นบนมือถือ จึงจะครบถ้วนสมบูรณ์ สิ่งที่มีในรถคือบนหน้าจอตรงกลางจะมีปุ่มกดโทรช่วยเหลือซึ่งโตโยต้าบอกว่า เป็นแบรนด์เดียวขณะนี้ที่มีเจ้าหน้าที่รอรับสายตลอด 24 ชั่วโมง เรียกว่า ไม่ต้องกลัวว่าโทรไปแล้วจะไม่ได้รับการช่วยเหลือ
ส่วนแอพพลิเคชั่น Find My Car บนมือถือนั้น เราทดลองใช้งานจริง เพียงแค่เปิดแอพขึ้นมา หน้าจอจะแสดงสถานะของรถและตำแหน่งของรถ รวมถึงตำแหน่งของเราด้วย ซึ่งตรงจุดนี้เองที่ช่วยให้เราสามารถหารถได้ว่าอยู่ที่ไหน ผ่านทางสัญญาณ GPS ที่ระบุพิกัดแบบชัดเจน หรือหากไม่มีแอพก็สามารถโทรเข้าคอลเซนเตอร์ เพื่อขอตำแหน่งของรถได้เช่นเดียวกัน (แต่จะต้องผ่านการยืนยันตัวตนว่าเป็นเจ้าของจริงก่อน)

ซึ่งนอกจากจะหาพิกัดรถได้แล้ว หากมั่นใจว่ารถหายจริง ทางเจ้าหน้าที่คอลเซนเตอร์สามารถช่วยประสานกับทางตำรวจในการดำเนินการติดตามรถได้ คือถ้าพบว่ารถมีการเคลื่อนที่หรือติดเครื่องอยู่ คงจำเป็นต้องประสานงานให้มีการสะกัดจับอะไรทำนองนั้น

เหมาะกับใคร
โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ แค่ชื่อก็มั่นใจได้สำหรับคนที่กำลังมองหารถใช้งานแบบเอนกประสงค์ พร้อมลุยทุกพื้นที่ แต่ไม่ทิ้งความสบาย สไตล์โตโยต้า แถมยังอุ่นใจมากขึ้นหากเลือกคบกับรุ่น 2.8V ที่มีระบบ T-Connect Telematics ช่วยตามรถหายได้ กับค่าตัว 1,593,000 บาท ในรุ่นขับสอง และ 1,663,000 บาท ในรุ่นขับสี่ เพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อน 14,000 บาท คุ้มค่าอยู่นะ







หนึ่งในหัวเรือใหญ่ของเซกเมนท์นี้ในฐานะ เจ้าตลาด “โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์” ขยับเพิ่มลูกเล่นใหม่ล่าสุดใส่เข้ามาเป็นพิเศษสำหรับรุ่น 2.8V ทั้งตัวขับเคลื่อน 4 ล้อและ 2 ล้อ สำหรับโมเดลที่จำหน่ายตั้งแต่ปี 2018 นี้ เป็นต้นไป ซึ่งทีมงานเอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง ได้มีโอกาสทดลองขับเจ้า ฟอร์จูนเนอร์ 2.8V ตัวขับเคลื่อน 2 ล้อ (Telematics) แบบหนำใจจึงอยากมาเล่าให้ฟัง
2018 เพิ่ม T-Connect Telematics รถหายตามได้ชัวร์
สำหรับจุดเด่นของรุ่นปรับปรุงโฉมใหม่อย่างที่เราทราบกันดีนั่นก็คือ การติดตั้งระบบดิสก์เบรก 4 ล้อ คือ ล้อหลังเปลี่ยนจากดรัมเบรกมาเป็นดิสก์เบรก ตามคำเรียกร้องของลูกค้าที่อยากให้ ฟอร์จูนเนอร์ ใส่ให้เป็นอุปกรณ์มาตราฐานมาจากโรงงาน ซึ่งโตโยต้า ตอบรับความต้องการดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดที่สุดขณะที่อีกหนึ่งจุดที่เปลี่ยนแปลง แต่จะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา จะต้องลองสัมผัสเองเท่านั้น นั่นก็คือ ระบบช่วงล่างที่ทางทีมวิศวกรโตโยต้าบอกว่า เซตอัพ ใหม่หมดทั้งโช้คอัพและสปริง นัยว่า เพื่อให้การขับขี่มีความมั่นคง และรถวิ่งได้นิ่งกว่ารุ่นก่อนหน้า ซึ่งผลลัพทธ์จะเป็นอย่างไร เรามีคำตอบให้
ส่วนจุดเด่นที่เพิ่มเติมเข้ามาในโมเดลปี 2018 ที่ต้องกล่าวถึงคือ ระบบ T-Connect Telematics ระบบที่ช่วยให้เราสามารถติดตามรถของเราได้อย่างง่ายดายเพียงปลายนิ้วสัมผัส ผ่านทางแอพพลิเคชั่น Find My Car ขั้นตอนก่อนการใช้งานอาจจะใช้รายละเอียดพอสมควร แต่เพื่อความปลอดภัยจำเป็นต้องทำ แนะนำว่าให้เซลล์จัดการให้ทั้งหมด ซึ่งเมื่อเราลงทะเบียนเสร็จเรียบร้อย จนได้รหัสมาใช้งานแล้ว คราวนี้ก็ง่าย แล้วจะกล่าวถึงในส่วนของการทดลองใช้งาน
หัวใจของ ฟอร์จูนเนอร์ รุ่น 2.8V ยังคงคบหากับเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.8 ลิตร รหัส 1GD-FTV พกพากำลังระดับ 177 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ด้านความปลอดภัยมาครบทั้ง
ABS,BA,EBD,VSC,TRC (A-TRC ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ),HAC และถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง ครบถ้วนในรถระดับนี้
ห้องโดยสารคือจุดเด่นที่สุดประการหนึ่งของฟอร์จูนเนอร์ ด้วยความกว้างขวางและนั่งสบายทั้งเบาะหน้าและเบาะแถวสอง ส่วนเบาะแถวที่สาม นั่งได้แบบพอดีตัว ที่สำคัญเบาะแถวสามที่หลายคนสงสัยว่าทำไมจึงไม่ทำแบบพับเก็บราบไปกับพื้นห้องโดยสาร คำตอบจากวิศวกรคือ เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร อันเป็นผลมาจากการออกแบบโครงสร้างตัวถังนั่นเอง ส่วนการพับเก็บก็ง่ายเบามือ ใช้มือข้างเดียวยกเก็บได้สบาย
ช่วงล่างนิ่ง เบาะหลังหลับสบาย
ในส่วนของการทดลองขับนั้น คราวนี้เราขอเน้นที่การใช้งานในเมืองเป็นหลักและมีขับออกนอกเมืองบ้างตามลักษณะการใช้งานที่เหมาะสมของตัวรถแบบนี้ ความรู้สึกแรกเมื่อประจำการหลังพวงมาลัย แน่นอน ทุกคนต้องสูงและใหญ่มาก ใช่ มันสูงและกว้างใหญ่จริงๆ ข้อดีคือ ทัศวิสัยที่ชัดเจน ข้อตรงข้ามคือ กะระยะยาก ใช้งานในเมืองจะไม่คล่องตัว แท้จริงเป็นอย่างไร เราไปพิสูจน์กัน
ผู้เขียนตะเวนขับเจ้าฟอร์จูนเนอร์ เฉพาะในกลางเมืองล้วนๆ เส้นสีลม สาทร สุขุมวิท สามเสน พระรามสี่ รวมเป็นระยะทางกว่า 100 กม. ขอฟันธงแบบไม่กลัวธงหัก ฟอร์จูนเนอร์ ใช้งานได้ดี อาจจะไม่คล่องตัวเท่ารถเล็ก แต่ด้วยทัศนวิสัยที่ดีทำให้มุมมองต่างๆ นั้นชัดเจน จึงไม่ต้องห่วงเวลาเจอการจราจรหนาแน่น จะมีบ้างในลานจอดรถที่มีช่องค่อนข้างแคบจะเป็นปัญหาเวลาเปิดประตู แต่ในแง่การขับถอดจอด สบายด้วยกล้องมองหลังที่มีตารางวัดระยะช่วยได้ดีมาก
จุดเด่นอีกประการที่ไม่อาจจะละเลยได้คือ ช่วงล่างที่โตโยต้าบอกว่าปรับปรุงใหม่แล้วนั้น จากใจผู้เขียน ย้ำคำเดิมเหมือนเมื่อครั้งได้ลองรอบแรกในรุ่น 2.4V ขับเคลื่อนสี่ล้อ ที่นั่งแล้วขับแล้ว รู้สึกถึงการทรงตัวที่นิ่งขึ้น การดูดซับแรงสะเทือนทำได้ดีกว่าเดิม รวมถึงการวิ่งด้วยความเร็วสูงระดับ 140 กม./ชม. ขับนิ่งแบบชิลๆ ซึ่งขอแนะนำให้ไปทดลองเองแล้วจะเข้าใจว่า นิ่งขึ้นเป็นอย่างไร
สิ่งที่ผู้เขียนชอบเป็นพิเศษ คือ การออกแบบภายในห้องโดยสาร คุณภาพของวัสดุและฝีมือในการประกอบรถ ให้ความรู้สึกที่ประหนึ่งเป็นรถหรู ตรงจุดนี้ต้องยอมรับว่า โตโยต้า พัฒนาคุณภาพขึ้นมาได้อีกสเตป ขณะที่การเพิ่มระบบ T-Connect Telematics เข้ามาในรุ่นนี้ ทำให้ ฟอร์จูนเนอร์ เด่นขึ้นมาทันที นั่นเพราะว่า..
เจ้าระบบ T-Connect Telematics ที่เราได้ทดลองใช้แบบเต็มๆ ประหนึ่งว่าเป็นเจ้าของรถเอง ใช้งานง่าย โดยจะต้องใช้งานควบคู่ไปกับแอพพลิเคชั่นบนมือถือ จึงจะครบถ้วนสมบูรณ์ สิ่งที่มีในรถคือบนหน้าจอตรงกลางจะมีปุ่มกดโทรช่วยเหลือซึ่งโตโยต้าบอกว่า เป็นแบรนด์เดียวขณะนี้ที่มีเจ้าหน้าที่รอรับสายตลอด 24 ชั่วโมง เรียกว่า ไม่ต้องกลัวว่าโทรไปแล้วจะไม่ได้รับการช่วยเหลือ
ส่วนแอพพลิเคชั่น Find My Car บนมือถือนั้น เราทดลองใช้งานจริง เพียงแค่เปิดแอพขึ้นมา หน้าจอจะแสดงสถานะของรถและตำแหน่งของรถ รวมถึงตำแหน่งของเราด้วย ซึ่งตรงจุดนี้เองที่ช่วยให้เราสามารถหารถได้ว่าอยู่ที่ไหน ผ่านทางสัญญาณ GPS ที่ระบุพิกัดแบบชัดเจน หรือหากไม่มีแอพก็สามารถโทรเข้าคอลเซนเตอร์ เพื่อขอตำแหน่งของรถได้เช่นเดียวกัน (แต่จะต้องผ่านการยืนยันตัวตนว่าเป็นเจ้าของจริงก่อน)
ซึ่งนอกจากจะหาพิกัดรถได้แล้ว หากมั่นใจว่ารถหายจริง ทางเจ้าหน้าที่คอลเซนเตอร์สามารถช่วยประสานกับทางตำรวจในการดำเนินการติดตามรถได้ คือถ้าพบว่ารถมีการเคลื่อนที่หรือติดเครื่องอยู่ คงจำเป็นต้องประสานงานให้มีการสะกัดจับอะไรทำนองนั้น
เหมาะกับใคร
โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ แค่ชื่อก็มั่นใจได้สำหรับคนที่กำลังมองหารถใช้งานแบบเอนกประสงค์ พร้อมลุยทุกพื้นที่ แต่ไม่ทิ้งความสบาย สไตล์โตโยต้า แถมยังอุ่นใจมากขึ้นหากเลือกคบกับรุ่น 2.8V ที่มีระบบ T-Connect Telematics ช่วยตามรถหายได้ กับค่าตัว 1,593,000 บาท ในรุ่นขับสอง และ 1,663,000 บาท ในรุ่นขับสี่ เพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อน 14,000 บาท คุ้มค่าอยู่นะ