ฟอร์ตยกเครื่องครั้งที่สองในรอบสิบปี โยกเงินทุนจากรถยนต์นั่งไปทุ่มผลิตเอสยูวีที่เป็นที่ต้องการของลูกค้ามากกว่า พร้อมปักหมุดชิงยอดขายในตลาดไฮบริดจากโตโยต้าอย่างเร็วที่สุดภายใน 3 ปี รวมทั้งท้าทายเทสลาด้วยเอสยูวีไฟฟ้าในปี 2020 ทั้งหมดนี้เพื่อกระตุ้นผลกำไรและกู้ยอดขายในอเมริกา
วันพฤหัสฯ ที่แล้ว ฟอร์ด มอเตอร์แห่งอเมริกา ประกาศแผนปรับโครงสร้างใหญ่ด้วยการโยกเงินทุน 7,000 ล้านดอลลาร์จากโครงการผลิตรถยนต์นั่งไปยังเอสยูวี ตั้งเป้าส่งเอสยูวีใหม่ 8 รุ่นลงตลาดในปี 2020 ในจำนวนนี้จะมีหนึ่งรุ่นเป็นระบบไฟฟ้าเต็มตัวและอีก 5 รุ่นเป็นระบบไฮบริด
โฟกัสสำคัญของแผนการใหญ่นี้อยู่ที่การยกเครื่องเซกเมนต์เอสยูวีทั้งหมด ควบคู่กับการผลิตรถไฮบริดและไฟฟ้าเพิ่ม พูดง่ายๆ คือฟอร์ดตั้งใจทำให้รถไฮบริดเป็นรถกระแสหลักด้วยการติดตั้งระบบนี้ในรถรุ่นที่ขายดีและมีกำไรมากที่สุดของบริษัท
ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นขณะที่รถรุ่นเก่าของฟอร์ดเริ่มมีปัญหาในการดึงดูดความสนใจจากลูกค้าในอเมริกา โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานั้น ส่วนแบ่งตลาดของบริษัทตกลงเกิน 2% อยู่ที่ 14.4% และมากระเตื้องขึ้นบางเฉียบแค่ 0.1% เมื่อปีที่แล้ว
ฟอร์ดยอมรับว่า ระยะเวลาการปรับโฉมรถของบริษัทยาวนานถึง 5.7 ปี นานกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม และสัญญาว่า จะล่นระยะเวลาเหลือ 3.3 ปีภายในปี 2020
ทั้งนี้ ในบรรดาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่อยู่ในแผนการล่าสุดที่ประกาศนั้นรวมถึงออฟโรด 2 รุ่นคือ เอสยูวีขนาดกลาง “บรองโก” และเอสยูวีรุ่นเล็กที่ยังไม่ได้ตั้งชื่อ โดยทั้งสองรุ่นนี้ออกแบบมาเพื่อประชันกับจี๊ปและแลนด์โรเวอร์โดยเฉพาะ
ฟอร์ดยังตั้งเป้าติดตั้งฟีเจอร์ความปลอดภัยมาตรฐานในรถเกือบทุกรุ่นภายในปี 2020 ซึ่งรวมถึงระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง และกล้องมองหลัง และภายในปลายปีหน้า รถทุกรุ่นจะเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ ปูทางสำหรับการอัพเดตซอฟต์แวร์อัตโนมัติแบบ over-the-air ในปี 2020
จิม แฮ็กเก็ต ซีอีโอฟอร์ด มองว่า การผลิตเอสยูวีไฮบริดจำนวนมากจะช่วยให้บริษัทและลูกค้ามีหลักประกันความเสี่ยงในภาวะน้ำมันแพง
นับจากรอดพ้นวิกฤตการเงินปี 2008 ฟอร์ดเริ่มผลักดันรถไฟฟ้าเข้าสู่ตลาดอเมริกา ปัจจุบัน อีวี (electric vehicle) คิดเป็นสัดส่วนเพียง 14% ของปริมาณการผลิตทั้งหมดของบริษัท ขณะที่เอสยูวีและปิ๊กอัพกวาดยอดขาย 86% ของยอดขายในอเมริกาเหนือ
ไม่ใช่แค่เอสยูวีอย่างเอคโคสปอร์ตและเอ็กซ์พลอเรอร์เท่านั้นที่มีระบบไฮบริด ฟอร์ดยังประกาศว่า ฟูล-ไซส์ปิ๊กอัพ F-150 จะมีเวอร์ชันไฮบริดเช่นกัน โดยปิ๊กอัพ F-series ถือเป็นขุมรายได้สำคัญของบริษัท ปีที่แล้วทำยอดขายถึง 41,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 28% ของรายได้ทั้งหมด 145,700 ล้านดอลลาร์
ฟอร์ดยังเตรียมนำเสนอมัสแตง ไฮบริด อันเป็นส่วนหนึ่งของแผนชิงยอดขายในตลาดไฮบริดจากโตโยต้าอย่างเร็วที่สุดในปี 2021 ทั้งนี้ ค่ายรถยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นเป็นผู้นำในเซกเมนต์นี้มาตั้งแต่เปิดตัวพรีอุสช่วงปลายทศวรรษ 1990
นอกจากนั้น ฟอร์ดยังมีแผนท้าทายเทสลาด้วยเอสยูวีที่ใช้ระบบส่งกำลังทางไฟฟ้าเต็มตัวใหม่ 1 รุ่น พร้อมระยะขับเคลื่อน 480 กิโลเมตรจากการชาร์จหนึ่งครั้ง ที่จะประเดิมเปิดตัวก่อนในปี 2020 หลังจากนั้นจะส่งอีก 6 รุ่นตามมาภายในปี 2022 อันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการลงทุนในรถไฟฟ้ามูลค่า 11,000 ล้านดอลลาร์
สุดท้าย เพื่อกระตุ้นกำไร ฟอร์ดยังลงมือลดต้นทุนด้วยการลดเวลาการพัฒนารถรุ่นใหม่ลง 20% และใช้แพล็ตฟอร์มการผลิตที่ยืดหยุ่นใหม่เพียง 5 แพล็ตฟอร์ม