เฟอร์รารี่ ปรับกลยุทธ์ทำตลาดรถซุปเปอร์คาร์เน้นการใช้งานแบบประจำวันมากขึ้น เปิดตัว “พอร์โตฟิโน่” ชูจุดเด่นหลังคาแข็งพับได้ หนึ่งเดียวในตลาดซุปเปอร์คาร์ สร้างสรรค์รถให้ตอบโจทย์ ขับง่าย ใช้งานได้ทุกวัน เครื่องแรง 600 แรงม้า นำหนักตัวเบาลง พร้อมเข้าทำตลาดในเมืองไทยราวกลางปีนี้ คันแรกส่งมอบถึงมือลูกค้าในเดือนกรกฎาคม เคาะราคาราว 24 ล้านบาท

“เฟอร์รารี่” แบรนด์ที่ได้ชื่อว่าเป็นแบรนด์ทรงพลังที่สุดในโลก ประจำปี 2014 จากการจัดอันดับของ BrandFinance โดยเป็นแบรนด์รถยนต์เพียงรายเดียวที่เคยสามารถขึ้นถึงอันดับ 1 ในภาพรวมได้ ท่ามกลางการแข่งขันอย่างรุนแรงของแบรนด์ต่างๆทั่วโลกไม่ว่าจะเป็น Walt Disney และ Lego ที่สลับกันขึ้นมาครองตำแหน่งนี้
ความสำเร็จดังกล่าวมิใช่จะทำได้ด้วยเวลาเพียงชั่วข้ามคืน แต่มันคือการสร้างสมมาอย่างยาวนานของ “เอนโซ เฟอร์รารี่” ผู้ก่อตั้งแบรนด์รถยนต์ โดยยังคงปรัชญาในการสร้างสรรค์รถยนต์สปอร์ตคาร์ระดับหรู และรักษามาตรฐานทุกอย่างให้อยู่ในระดับสูงสุด แม้ว่าผู้ก่อตั้งจะไม่ได้อยู่คุมจนถึงปัจจุบันแล้วก็ตาม

ซึ่งผลลัพท์แสดงออกมาเป็นตัวเลขอย่างชัดเจนด้วยยอดขายทั่วโลกของเฟอร์รารี่ที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ของอิตาลี ในฐานะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นอย่างเป็นทางการ ระบุยอดขายประจำปี 2017 มีจำนวนทั้งสิ้น 8,398 คัน เทียบกับปี 2016 มียอดขาย 8,014 คัน เติบโตเพิ่มขึ้น 384 คัน หรือ 5%
สำหรับการจำแนกสัดส่วนการขาย เฟอร์รารี่แบ่งเป็น 4 กลุ่มตามพื้นที่ คือ ยุโรป (รวมทุกประเทศ) โดยครองส่วนแบ่งมากที่สุด มียอดจำหน่ายทั้งสิ้น 3,737 คัน ขณะที่ตลาดอเมริกา มียอด 2,811 คัน ตลาดจีน,ฮ่องกง,ไต้หวัน 617 คัน และตลาดที่เหลือทั้งหมดในเอเชียแฟซิฟิค 1,233 คัน ซึ่งถือเป็นตลาดที่มีการเติบโตสูงที่สุดในอัตรา 12%

ทั้งการเติบโตขึ้นของยอดขายดังกล่าวมีปัจจัยมาจาก ยอดขายรถเครื่องยนต์แบบ V12 ที่ได้รับการตอบรับอย่างยอดเยี่ยม ทั้งในรุ่น GTC4Lusso และ 812Superfast ที่เปิดตัวไปเมื่อต้นปีที่แล้ว รวมถึงการมี LaFerrari Aperta รุ่นพิเศษที่ฉลองครบรอบ 70 ปี แบรนด์เฟอร์รารี่ ช่วยให้ยอดขายของรุ่นเครื่องยนต์แบบ V12 เติบโตขึ้น
ขณะที่รุ่นเครื่องยนต์ V8 นั้น ความนิยมยังคงมีอยู่อย่างสม่ำเสมอ แต่เนื่องจากรุ่น แคลิฟอร์เนีย ที ยุติการทำตลาดไป ส่งผลกระทบต่อยอดขายของรุ่น V8 พอสมควร อย่างไรก็ตาม เฟอร์รารี่มีการตั้งเป้ายอดขายและส่งมอบรวมทุกรุ่นในปีนี้ไว้สูงถึง 9,000 คัน เหตุใดเฟอร์รารี่จึงกล้าตั้งเป้าสูงขนาดนั้น

คำตอบของคำถามนี้อยู่ที่การเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุด “พอร์โตฟีโน่” (Portofino) ที่จะเข้ามาทำตลาดแทนที่รุ่น แคลิฟอร์เนีย ที นั่นเอง โดยพอร์โตฟีโน่ เน้นทำตลาดด้วยจุดขายซุปเปอร์คาร์ที่สามารถใช้งานได้ทุกวัน ซึ่งมีอัตราส่วนยอดขายเติบโตในเซกเมนท์นี้ถึง 150% (เฟอร์รารี่ถือว่าสถิติยอดขายแยกตามรุ่นเป็นความลับ ไม่อาจเปิดเผยได้)
สำหรับ พอร์โตฟีโน่ จัดอยู่ในรถสปอร์ตประเภท คูเป้ แบบ 2+2 ที่นั่น มีจุดเด่นคือ หลังคาแข็งแบบพับเก็บได้(ในเวลาเพียง 14 วินาที และสามารถเปิด-ปิดได้ขณะวิ่งที่ความเร็วไม่เกิน 40 กม./ชม.) ซึ่งถือเป็นรถสปอร์ตระดับซุปเปอร์คาร์เพียงรุ่นเดียวในลักษณะนี้ โดยตัวถังได้รับการออกแบบใหม่หมด เน้นถึงความลู่ลมตามหลักอากาศพลศาสตร์เป็นสำคัญทำให้มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศที่ต่ำเพียง 0.312 เท่านั้น

ภายในห้องโดยสารปรับปรุงใหม่ ให้มีขนาดที่นั่งทางด้านหลังกว้างขึ้นกว่ารุ่น แคลิฟอร์เนีย ที เพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน เบาะนั่งไฟฟ้าปรับได้ 18 ทิศทาง หน้าจอขนาด 10.25 นิ้ว ควบคุมทุกอย่างได้ทั้งระบบความบันเทิงและระบบนำทาง รวมถึงจอพิเศษขนาด 8.8 นิ้วฝั่งผู้โดยสารที่โชว์สถานะการขับขี่ทั้งรอบเครื่องยนต์และความเร็วของรถเช่นเดียวกับผู้ขับขี่ พร้อมกับการเปรียบเปลี่ยนชิ้นส่วนโครงสร้างภายในตัวถังใหม่ลดจำนวนชิ้นลง แต่เสริมประสิทธิภาพดีขึ้น ทำให้มีน้ำหนักตัวเบาลงตั้งแต่ 65-80 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับ แคลิฟอร์เนีย ที
หัวใจมากับเครื่องยนต์เบนซินแบบ V8 เทอร์โบ ซึ่งเคยได้รับรางวัลเครื่องยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2 ปีติดต่อกัน (ปีค.ศ. 2016-2017) โดยมีการปรับแต่งใหม่ทั้งชิ้นส่วนวัตถุและซอฟแวร์ที่ควบคุมการทำงาน ส่งผลให้มีกำลังสูงสุดถึง 600 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 760 นิวตันเมตร ความเร็วสูงสุดมากกว่า 320 กม./ชม.

ในแง่ของเทคโนโลยี พอร์โตฟีโน่ คือรถรุ่นแรกที่เฟอร์รารี่เลือกนำเอาระบบพวงมาลัยไฟฟ้า เข้ามาติดตั้งใช้งาน ซึ่งเฟอร์รารี่บอกว่า ให้ความรู้สึกในการขับขี่ที่ไม่แตกต่างจากพวงมาลัยระบบไฮดรอลิก แต่ดีกว่าในแง่ของความนุ่มนวล,การตอบสนองอย่างเป็นธรรมชาติ และความเม่นยำขณะเลี้ยวโค้ง รวมถึงการมีโหมดการขับให้เลือกใช้งานได้ 3 รูปแบบคือ comfort, sport และ ESC off สอดรับกับแนวคิดในการสร้างให้ พอร์โตฟีโน่ เป็นรถสปอร์ตที่ใช้งานได้ทุกวัน
เฟอร์รารี่ พอร์โตฟีโน่ พร้อมทำตลาดและเริ่มต้นส่งมอบอย่างเป็นทางการได้ราว ไตรมาสที่สองของปีนี้ ไล่เรียงตามลำดับที่ เฟอร์รารี่กำหนดไว้ ซึ่งในส่วนของประเทศไทย เฟอร์รารี่ จัดเตรียมให้ “คาวาลลิโน มอเตอร์” ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ เฟอร์รารี่ อย่างเป็นทางการในประเทศไทย เปิดตัวในช่วงกลางปีนี้หรือก่อนหน้าได้ โดยรถจริงกำหนดส่งมอบให้ลูกค้าได้ตั้งแต่ กรกฎาคม 2018 ที่จะถึงนี้

สำหรับสนนราคาค่าตัวของ พอร์โตฟีโน่ ทาง เฟอร์รารี่ อิตาลี เคาะตัวเลขคำนวนภาษีมาให้เสร็จสรรพอยู่ที่ เริ่มต้น 23,612,411 บาท (ไม่รวมออพชันเสริม) เศรษฐีไทยเตรียมแคะกระปุกรอได้
ทั้งนี้จุดเด่นอีกประการอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเฟอร์รารี่คือ รถยนต์ทุกคัน จะผลิตขึ้นตามคำสั่งของผู้สั่งจองโดยลูกค้าสามารถเลือกทุกสิ่งอย่าง ไม่ว่าจะสีของเบาะ,สีตัวถัง, ชุดแต่งพิเศษ และออพชั่นต่างๆ ทำให้รถยนต์ เฟอร์รารี่ แต่ละคันมีความเป็นตัวของตัวเองสูง ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ตรง 100% จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเฟอร์รารี่จึงได้ใจลูกค้าอย่างเหนียวแน่น และสามารถขึ้นแท่นเป็นแบรนด์ทรงพลังอันดับ1ได้เช่นนี้
“เฟอร์รารี่” แบรนด์ที่ได้ชื่อว่าเป็นแบรนด์ทรงพลังที่สุดในโลก ประจำปี 2014 จากการจัดอันดับของ BrandFinance โดยเป็นแบรนด์รถยนต์เพียงรายเดียวที่เคยสามารถขึ้นถึงอันดับ 1 ในภาพรวมได้ ท่ามกลางการแข่งขันอย่างรุนแรงของแบรนด์ต่างๆทั่วโลกไม่ว่าจะเป็น Walt Disney และ Lego ที่สลับกันขึ้นมาครองตำแหน่งนี้
ความสำเร็จดังกล่าวมิใช่จะทำได้ด้วยเวลาเพียงชั่วข้ามคืน แต่มันคือการสร้างสมมาอย่างยาวนานของ “เอนโซ เฟอร์รารี่” ผู้ก่อตั้งแบรนด์รถยนต์ โดยยังคงปรัชญาในการสร้างสรรค์รถยนต์สปอร์ตคาร์ระดับหรู และรักษามาตรฐานทุกอย่างให้อยู่ในระดับสูงสุด แม้ว่าผู้ก่อตั้งจะไม่ได้อยู่คุมจนถึงปัจจุบันแล้วก็ตาม
ซึ่งผลลัพท์แสดงออกมาเป็นตัวเลขอย่างชัดเจนด้วยยอดขายทั่วโลกของเฟอร์รารี่ที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ของอิตาลี ในฐานะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นอย่างเป็นทางการ ระบุยอดขายประจำปี 2017 มีจำนวนทั้งสิ้น 8,398 คัน เทียบกับปี 2016 มียอดขาย 8,014 คัน เติบโตเพิ่มขึ้น 384 คัน หรือ 5%
สำหรับการจำแนกสัดส่วนการขาย เฟอร์รารี่แบ่งเป็น 4 กลุ่มตามพื้นที่ คือ ยุโรป (รวมทุกประเทศ) โดยครองส่วนแบ่งมากที่สุด มียอดจำหน่ายทั้งสิ้น 3,737 คัน ขณะที่ตลาดอเมริกา มียอด 2,811 คัน ตลาดจีน,ฮ่องกง,ไต้หวัน 617 คัน และตลาดที่เหลือทั้งหมดในเอเชียแฟซิฟิค 1,233 คัน ซึ่งถือเป็นตลาดที่มีการเติบโตสูงที่สุดในอัตรา 12%
ทั้งการเติบโตขึ้นของยอดขายดังกล่าวมีปัจจัยมาจาก ยอดขายรถเครื่องยนต์แบบ V12 ที่ได้รับการตอบรับอย่างยอดเยี่ยม ทั้งในรุ่น GTC4Lusso และ 812Superfast ที่เปิดตัวไปเมื่อต้นปีที่แล้ว รวมถึงการมี LaFerrari Aperta รุ่นพิเศษที่ฉลองครบรอบ 70 ปี แบรนด์เฟอร์รารี่ ช่วยให้ยอดขายของรุ่นเครื่องยนต์แบบ V12 เติบโตขึ้น
ขณะที่รุ่นเครื่องยนต์ V8 นั้น ความนิยมยังคงมีอยู่อย่างสม่ำเสมอ แต่เนื่องจากรุ่น แคลิฟอร์เนีย ที ยุติการทำตลาดไป ส่งผลกระทบต่อยอดขายของรุ่น V8 พอสมควร อย่างไรก็ตาม เฟอร์รารี่มีการตั้งเป้ายอดขายและส่งมอบรวมทุกรุ่นในปีนี้ไว้สูงถึง 9,000 คัน เหตุใดเฟอร์รารี่จึงกล้าตั้งเป้าสูงขนาดนั้น
คำตอบของคำถามนี้อยู่ที่การเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุด “พอร์โตฟีโน่” (Portofino) ที่จะเข้ามาทำตลาดแทนที่รุ่น แคลิฟอร์เนีย ที นั่นเอง โดยพอร์โตฟีโน่ เน้นทำตลาดด้วยจุดขายซุปเปอร์คาร์ที่สามารถใช้งานได้ทุกวัน ซึ่งมีอัตราส่วนยอดขายเติบโตในเซกเมนท์นี้ถึง 150% (เฟอร์รารี่ถือว่าสถิติยอดขายแยกตามรุ่นเป็นความลับ ไม่อาจเปิดเผยได้)
สำหรับ พอร์โตฟีโน่ จัดอยู่ในรถสปอร์ตประเภท คูเป้ แบบ 2+2 ที่นั่น มีจุดเด่นคือ หลังคาแข็งแบบพับเก็บได้(ในเวลาเพียง 14 วินาที และสามารถเปิด-ปิดได้ขณะวิ่งที่ความเร็วไม่เกิน 40 กม./ชม.) ซึ่งถือเป็นรถสปอร์ตระดับซุปเปอร์คาร์เพียงรุ่นเดียวในลักษณะนี้ โดยตัวถังได้รับการออกแบบใหม่หมด เน้นถึงความลู่ลมตามหลักอากาศพลศาสตร์เป็นสำคัญทำให้มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศที่ต่ำเพียง 0.312 เท่านั้น
ภายในห้องโดยสารปรับปรุงใหม่ ให้มีขนาดที่นั่งทางด้านหลังกว้างขึ้นกว่ารุ่น แคลิฟอร์เนีย ที เพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน เบาะนั่งไฟฟ้าปรับได้ 18 ทิศทาง หน้าจอขนาด 10.25 นิ้ว ควบคุมทุกอย่างได้ทั้งระบบความบันเทิงและระบบนำทาง รวมถึงจอพิเศษขนาด 8.8 นิ้วฝั่งผู้โดยสารที่โชว์สถานะการขับขี่ทั้งรอบเครื่องยนต์และความเร็วของรถเช่นเดียวกับผู้ขับขี่ พร้อมกับการเปรียบเปลี่ยนชิ้นส่วนโครงสร้างภายในตัวถังใหม่ลดจำนวนชิ้นลง แต่เสริมประสิทธิภาพดีขึ้น ทำให้มีน้ำหนักตัวเบาลงตั้งแต่ 65-80 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับ แคลิฟอร์เนีย ที
หัวใจมากับเครื่องยนต์เบนซินแบบ V8 เทอร์โบ ซึ่งเคยได้รับรางวัลเครื่องยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2 ปีติดต่อกัน (ปีค.ศ. 2016-2017) โดยมีการปรับแต่งใหม่ทั้งชิ้นส่วนวัตถุและซอฟแวร์ที่ควบคุมการทำงาน ส่งผลให้มีกำลังสูงสุดถึง 600 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 760 นิวตันเมตร ความเร็วสูงสุดมากกว่า 320 กม./ชม.
ในแง่ของเทคโนโลยี พอร์โตฟีโน่ คือรถรุ่นแรกที่เฟอร์รารี่เลือกนำเอาระบบพวงมาลัยไฟฟ้า เข้ามาติดตั้งใช้งาน ซึ่งเฟอร์รารี่บอกว่า ให้ความรู้สึกในการขับขี่ที่ไม่แตกต่างจากพวงมาลัยระบบไฮดรอลิก แต่ดีกว่าในแง่ของความนุ่มนวล,การตอบสนองอย่างเป็นธรรมชาติ และความเม่นยำขณะเลี้ยวโค้ง รวมถึงการมีโหมดการขับให้เลือกใช้งานได้ 3 รูปแบบคือ comfort, sport และ ESC off สอดรับกับแนวคิดในการสร้างให้ พอร์โตฟีโน่ เป็นรถสปอร์ตที่ใช้งานได้ทุกวัน
เฟอร์รารี่ พอร์โตฟีโน่ พร้อมทำตลาดและเริ่มต้นส่งมอบอย่างเป็นทางการได้ราว ไตรมาสที่สองของปีนี้ ไล่เรียงตามลำดับที่ เฟอร์รารี่กำหนดไว้ ซึ่งในส่วนของประเทศไทย เฟอร์รารี่ จัดเตรียมให้ “คาวาลลิโน มอเตอร์” ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ เฟอร์รารี่ อย่างเป็นทางการในประเทศไทย เปิดตัวในช่วงกลางปีนี้หรือก่อนหน้าได้ โดยรถจริงกำหนดส่งมอบให้ลูกค้าได้ตั้งแต่ กรกฎาคม 2018 ที่จะถึงนี้
สำหรับสนนราคาค่าตัวของ พอร์โตฟีโน่ ทาง เฟอร์รารี่ อิตาลี เคาะตัวเลขคำนวนภาษีมาให้เสร็จสรรพอยู่ที่ เริ่มต้น 23,612,411 บาท (ไม่รวมออพชันเสริม) เศรษฐีไทยเตรียมแคะกระปุกรอได้
ทั้งนี้จุดเด่นอีกประการอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเฟอร์รารี่คือ รถยนต์ทุกคัน จะผลิตขึ้นตามคำสั่งของผู้สั่งจองโดยลูกค้าสามารถเลือกทุกสิ่งอย่าง ไม่ว่าจะสีของเบาะ,สีตัวถัง, ชุดแต่งพิเศษ และออพชั่นต่างๆ ทำให้รถยนต์ เฟอร์รารี่ แต่ละคันมีความเป็นตัวของตัวเองสูง ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ตรง 100% จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเฟอร์รารี่จึงได้ใจลูกค้าอย่างเหนียวแน่น และสามารถขึ้นแท่นเป็นแบรนด์ทรงพลังอันดับ1ได้เช่นนี้