xs
xsm
sm
md
lg

“โรโบแท็กซี่” ตลาดนี้ GM ขอสอย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โบลต์ อีวี รถไฟฟ้าขับขี่อัตโนมัติที่ “ครูซ” ธุรกิจรถไร้คนขับของจีเอ็ม เผยโฉมกับสื่อมวลชนในซานฟรานซิสโกเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน
จีเอ็มแบวิสัยทัศน์รถอัตโนมัติครั้งแรก เผยอีก 2 ปีเล็งส่งฟลีตโรโบแท็กซี่ให้บริการตามเมืองใหญ่หลายแห่งในอเมริกา เชื่อสร้างรายได้มากกว่าแค่การผลิตรถขายขาดให้ลูกค้ารายย่อย สอดคล้องกับรายงานที่ออกมาเมื่อเร็วๆ นี้ที่บอกว่า แท็กซี่ไร้คนขับจะสร้างกำไรให้อุตสาหกรรมรถยนต์ถึง 40% รวมทั้งทำให้ดีมานด์ซีดานในอเมริกาหายไปกว่าครึ่งภายในปี 2030

วันที่ 30 พฤศจิกายน แดน อัมมานน์ ประธานเจเนอรัล มอเตอร์ (จีเอ็ม) ขึ้นเวทีบอกเล่ากับนักลงทุนว่า ในอนาคตรายได้จากรถอัตโนมัติตลอดช่วงอายุการใช้งานจะสูงถึงหลักแสนดอลลาร์ต่อคัน เทียบกับที่บริษัทได้เงินครั้งเดียวจากการขายขาดให้ลูกค้าคันละเฉลี่ย 30,000 ดอลลาร์

ค่ายรถเบอร์ 1 ของอเมริกาแห่งนี้ที่มองว่า รถไฟฟ้าและรถไร้คนขับจะเป็นฟันเฟืองสำคัญของการขนส่งในอนาคตนั้น ทุ่มเทความสนใจกับการพัฒนารถอัตโนมัตินับตั้งแต่เข้าซื้อครูซ ออโตเมชัน ในราคา 1,000 ล้านดอลลาร์โดยประมาณเมื่อต้นปีที่แล้ว

ปัจจุบัน ผู้ผลิตรถและคู่แข่งจากต่างอุตสาหกรรมอย่างเวย์โมและอูเบอร์ เทคโนโลยีส์ ดาหน้าอัดฉีดเม็ดเงินเป็นพันล้านดอลลาร์ในตลาดใหม่นี้โดยต่างหวังว่า ผู้มาก่อนจะได้กอบโกยส่วนแบ่งไปก่อน และโรโบแท็กซี่เป็นตัวชูโรงสำคัญในการใช้ประโยชน์จากรถยนต์ขับขี่อัตโนมัติ ซึ่งรวมถึงเชฟโรเล็ต โบลต์ของจีเอ็ม

อัมมานน์แจงว่า ถ้าจีเอ็มรักษาอัตราการเปลี่ยนแปลงปัจจุบันไว้ได้ต่อไป บริษัทจะพร้อมนำเทคโนโลยีนี้ลงสู่ตลาดมวลชนท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนที่สุดในปี 2019 โดยที่ความปลอดภัยจะเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการตัดสินใจของบริษัทว่า จะยุติบทบาทของคนขับเมื่อใด

ราคาหุ้นจีเอ็มระยะหลังมานี้ดีวันดีคืน เนื่องจากนักลงทุนมีความหวังกับแผนการพัฒนารถอัตโนมัติและรถไฟฟ้า แม้ผลกำไรหลักของจีเอ็มมาจากความต้องการรถกระบะและเอสยูวีในอเมริกาเหนือ และยอดขายที่เติบโตรุดหน้าในจีนก็ตาม

กระนั้น แม้เกริ่นมาระยะหนึ่งแล้วว่า รถไร้คนขับจะเป็นหนึ่งในเซ็กเมนต์ที่มีบทบาทสำคัญต่ออนาคตของบริษัท แต่เพิ่งจะมาตอนนี้ที่จีเอ็มเปิดเผยกลยุทธ์ละเอียดมากขึ้น อาทิ จะมีการผลิตโบลต์อัตโนมัติจำนวนมากในโรงงานที่มีอยู่เดิม การลดต้นทุน และการเปิดตัวในตลาดสำคัญในเมืองใหญ่ๆ อย่างรวดเร็วผ่านบริการไรด์เฮลลิ่งเพื่อข่มขวัญผู้ให้บริการเจ้าเก่าอย่างอูเบอร์

แมรี บาร์รา ประธานบริหารจีเอ็ม สำทับว่า จุดเด่นของจีเอ็มคือเป็นบริษัทเดียวที่มีทุกอย่างครบ ซึ่งหมายถึงการผลิตและให้บริการโรโบแท็กซี่เองทั้งหมด

นอกจากนั้นเมื่อสองเดือนที่แล้ว จีเอ็มยังบอกว่า มองเห็นอนาคตที่มีรถอัตโนมัติวิ่งบนถนนภายในไม่กี่ไตรมาสนี้ ไม่ใช่อีกหลายปีแบบที่คนอื่นมอง

บาร์ราสำทับว่า รถอัตโนมัติและรูปแบบการขนส่งใหม่แบบแบ่งปันจะมีบทบาทเพิ่มขึ้นในฐานะธุรกิจหลักของจีเอ็ม และโอกาสใหญ่ที่สุดจะมาจากชายฝั่งด้านตะวันออกและตะวันตกของอเมริกา

ชัค สตีเวนส์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินเห็นด้วยว่า บริการโรโบแท็กซี่อาจใหญ่กว่าธุรกิจหลักของจีเอ็มตอนนี้และมีส่วนแบ่งกำไรมากกว่า โดยขณะนี้บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการลดต้นทุนจากบริการไรด์เฮลลิ่งให้ได้ 40% และการลดต้นทุนลงต่ำกว่า 1 ดอลลาร์ต่อไมล์ภายในปี 2025 จาก 2.50 ดอลลาร์ในปัจจุบัน จะหมายถึงส่วนต่างกำไร 20-30%

เพื่อให้เป็นไปตามนั้น จีเอ็มจึงกำลังเร่งลดต้นทุนการผลิตเซ็นเซอร์ไลดาร์ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของเทคโนโลยีรถไร้คนขับ จาก 20,000 ดอลลาร์เหลือ 300 ดอลลาร์ โดยเมื่อเดือนตุลาคม จีเอ็มเพิ่งเข้าซื้อสโตรบ ผู้พัฒนาไลดาร์

จีเอ็มคาดว่า การพัฒนารถสำหรับบริการโรโบแท็กซี่ แทนรูปแบบธุรกิจปัจจุบันคือการผลิตรถออกมาขายให้ลูกค้ารายย่อย อาจสร้างรายได้เพิ่มขึ้นรวดเร็วมากเนื่องจากรถแต่ละคันจะมีผู้ใช้จำนวนมากต่อเนื่องตลอดอายุการใช้งาน

ปรากฏการณ์ที่ตอกย้ำสมรภูมิการแข่งขันดุเด็ดเผ็ดมันคือ ปลายเดือนพฤศจิกายน อูเบอร์ประกาศแผนสั่งซื้อรถอัตโนมัติ 24,000 คันจากวอลโว่แห่งสวีเดน ที่ขณะนี้เป็นบริษัทในเครือของจีลี่ ออโตโมบิล โฮลดิ้งส์ของจีน ในระหว่างปี 2019-2021 แต่ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดด้านการเงิน ขณะที่ต้นเดือนเดียวกันนั้น เวย์โมคลอดแผนให้บริการโรโบแท็กซี่ในฟินิกซ์ภายในไม่กี่เดือนนี้ แต่ยังไม่บอกว่า จะเริ่มให้บริการในวงกว้างเมื่อใด

นอกจากต้องต่อสู้กับคู่แข่งนอกวงการแล้ว จีเอ็มยังต้องฟาดฟันกับค่ายรถกระแสหลักอื่นอีกหลายแห่ง เช่น พีเอสเอของฝรั่งเศสผู้ผลิตรถเปอโยต์และซีตรอง ที่กำลังเดิมพันกับธุรกิจคาร์แชริ่งและบริการอื่นๆ ด้วยแผนก “ฟรี2มูฟ” แถมหวังว่า แผนกนี้จะกรุยทางนำบริษัทกลับไปโลดแล่นในอเมริกาอีกครั้ง

ที่เยอรมนี เดมเลอร์กำลังร่วมกับบ๊อชพัฒนารถไฟฟ้าอัตโนมัติที่อาจพร้อมเปิดตัวต้นทศวรรษ 2020 และตอนนี้ริเริ่มบริการคาร์แชริ่งของตัวเองแล้วในชื่อ “คาร์2โก” ในกว่า 20 เมืองทั่วโลก

โฟล์คสวาเกนจากเมืองเบียร์เช่นเดียวกัน กำลังสร้าง “โมญา” ที่ประกอบด้วยทั้งอี-ชัตเติล, ไรด์พูลลิ่ง และคาร์เฮลลิ่ง

โรแลนด์ เบอร์เกอร์ บริษัทที่ปรึกษาในเยอรมนี คาดว่า เมื่อถึงปี 2030 โรโบแท็กซี่จะสร้างกำไรให้อุตสาหกรรมรถถึง 40% ของผลกำไรทั้งหมด ขณะที่ความต้องการรถยนต์ส่วนตัวจะลดลงถึง 30% และค่ายรถที่ปรับตัวตามไม่ทันมีสิทธิ์พับกิจการโดยไม่รู้ตัว

บริษัทที่ปรึกษาระดับโลก เคพีเอ็มจีตอกย้ำว่า ในปีดังกล่าว บริการไรด์เฮลลิ่งที่ใช้รถอัตโนมัติ รวมถึงความนิยมในการเดินทางไกลด้วยรถขนาดใหญ่ จะทำให้ดีมานด์รถซีดานในอเมริกาหายไปกว่าครึ่ง หรือคิดเป็นยอดขายราว 2.1 ล้านคันต่อปี จาก 5.4 ล้านคันในขณะนี้ ขณะที่จำนวนบริษัทรถที่ยังคงผลิตซีดานขนาดเล็กและขนาดกลางจะเหลือเพียง 3-4 ราย จาก 10 รายในปัจจุบัน
กำลังโหลดความคิดเห็น