มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต หนึ่งในรถแบบพีพีวี ทำตลาดอยู่ในเมืองไทยมาอย่างยาวนานกับชื่อเสียงที่สะสมมากับสายพันธ์ ปาเจโร อันโดดเด่นในเรื่องของความแข็งแกร่ง สมบุกสมบัน ดังที่เราได้เห็นมาในรุ่นอดีต ซึ่งปัจจุบันยังมีวิ่งใช้งานให้เห็นอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในโมเดลแรกที่จ่อคิวเป็นรถสไตล์คลาสสิคให้คนรักรถได้เก็บสะสม
สำหรับ ปาเจโร สปอร์ต แม้จะไม่ใช่สายตรง แต่DNA และเทคโนโลยีต่างๆ ก็ได้รับการบรรจุ ไว้ประจำการอย่างเต็มที่ เปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในปี 2015 เพื่อกระตุ้นความสดใหม่ มิตซูบิชิ จึงออก ปาเจโร สปอร์ต โมเดลปี 2017 โดยมีการปรับเพิ่มออพชัน อีก 13 รายการ จากเดิมที่ว่าคุ้มค่า ทำให้ยิ่งคุ้มค่าขึ้นไปอีก
เพิ่มออพชันเน้นภายใน
ภายนอกทุกอย่างยังคงเหมือนรุ่นปี 2016 มีเพียงเพิ่มระบบฉีดน้ำล้างไฟหน้าเข้ามา ขณะที่อุปกรณ์ด้วยความปลอดภัย เพิ่มเข็มขัดนิรภัยเบาะแถว2 แบบELR 3 จุด 3 ตำแหน่ง, จุดยึดเบาะเด็ก ISOFIX เบาะแถว2แบบใหม่ และม่านถุงลมนิรภัยยาวถึงเบาะแถวที่ 3 รวมถึงระบบขับเคลื่อนที่มีการเพิ่มระบบล็อกเฟีองท้ายหลัง ช่วยให้ผ่านอุปสรรคไปได้หากเจอสถานะการณ์ที่ไม่คาดฝัน
สำหรับหัวใจยังคงเดิม คบหากับ เครื่องยนต์ MIVEC Clean Diesel VG Turbo ขนาด 2.4 ลิตร กำลังสูงสุด 181 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดพร้อมระบบ INC (Idle Neutral Control) และ G-sensor ที่ทำงานสอดประสานกันเป็นอย่างดี โดยมี 3 ทางเลือกย่อย ได้แก่รุ่น ขับเคลื่อน 2 ล้อ 2WD GLS-LTD ราคา 1,289,000 บาท , รุ่น 2WD GT ราคา 1,389,000 บาท และรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ 4WD GT 1,529,000 บาท
ปาเจโร สปอร์ต โมเดลปี 2017 จุดใหญ่คือการปรับเพิ่มในส่วนของออพชันภายใน ไล่เรียงตั้งแต่ มาตรวัดภาษาไทย กราฟฟิกเตือนปิดประตูแบบใหม่พร้อมระบบเตือนระดับน้ำล้างกระจก, เปลี่ยนลายกราฟฟิกรถยนต์ในระบบกล้องมองภาพรอบคัน, เพิ่มปุ่มเซนทรัลล็อกที่แผงประตูคนขับ,ปุ่มควบคุมกระจกไฟฟ้าแบบเรืองแสง 4 ตำแหน่าง, ช่องจ่ายไฟ 12 โวลต์, พนักพิงศีรษะเบาะแถว2 ปรับระดับได้ 3 ตำแหน่ง และที่พักแขนเบาะแถว2 พร้อมที่วางแก้วดีไซน์ใหม่
แรงแต่นุ่ม เน้นคุ้มค่า
การทดลองขับในครั้งนี้ ทางมิตซูบิชิ เลือกเส้นทาง กรุงเทพฯ -กาญจนบุรี ในวันที่ฟ้าคลึ้มและมีความเสี่ยงของพายุฝนตามฤดูกาล เราได้รับมอบให้ประจำการในรุ่น ขับเคลื่อน 4 ล้อตัวท้อป ช่วงแรกผู้เขียนรับอาสาเป็นผู้โดยสารตอนท้ายก่อน เพื่อนั่งดูว่า สบายแค่ไหน ผลลัพท์คือ
ตลอดการนั่งให้ความรู้สึกที่ ค่อนข้างนุ่ม นั่งสบาย แถมมีจอด้านหลังให้ชมได้ตลอดการเดินทาง เรียกว่าถ้ามีเด็กเล็กหรือไปเป็นครอบครัวใหญ่ก็สบายใจได้ โดยแยกระบบเสียงจากจอด้านหน้าได้ โดยเสียบหูฟังที่ติดรถมาให้เพื่อความเป็นส่วนตัว หรือจะเอาเสียงออกลำโพงกระจายทั่วรถเพื่อควาบันเทิงรอบคันก็ทำได้ ซึ่งการมีจอภาพแบบนี้แลกกับการไม่มีหลังคาแบบซันรูฟ
หลังจากนั้น ถึงคิวเข้ามาเป็นพลขับบ้าง ความรู้สึกแรกคือ พอดีตัว ตำแหน่งการนั่งขับเหมือนคอกพิตของห้องนักบิน แต่มีจุดที่ไม่ชอบคือ ตัวคอนโซลกลางชิดขาซ้ายมากเกินไปสักหน่อย ขา ส่วนการจัดวางตำแหน่งของอุปกรณ์ถือว่า ใช้งานได้ง่ายสะดวกดี ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแยกซ้ายขวา เย็นฉ่ำตลอดทั้งคัน
จังหวะออกตัวหรือกดคันเร่งเพื่อแซง พละกำลังเหลือเฟือ ตอบสนองทันใจ รวมถึงการลองเล่นระบบเกียร์ 8 สปีด ด้วยPaddle Shift จากแป้นพวงมาลัย ถ้าคุณชอบความสนุกในการขับ ปาเจโร สปอร์ต ตอบโจทย์ตรงนี้โดนใจจริงๆ การขับด้วยความเร็วสูงเกิน 100 กม./ชม.ขึ้นไป การทรงตัวทำได้ดี เด่นไปทางด้านความนุ่ม จึงอาจจะทำให้เวลาเบรกมีการโยนตัวอยู่บ้าง
ซึ่งบางช่วงของการขับเราเจอกับพายุฝนกระหน่ำ บอกได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า อุ่นใจได้ เราลองปรับโหมดการขับมาเป็นแบบ 4H หรือ ขับเคลื่อน 4 ล้อด้วยความเร็ว เกาะถนนอย่างชัดเจนยิ่งในสภาพถนนที่เปียกลื่น หรือฝนตกหนัก ส่วนสิ่งที่เราไม่ชอบคือ การเก็บเสียง ทั้งเสียงเครื่องยนต์และเสียงของลมประทะ ยิ่งเมื่อขับด้วยความเร็วเกิน 120 กม./ชม. จะได้ยินค่อนข้างชัดเจน
จุดเด่นอีกประการที่มิอาจจะลืมกล่าวถึงไปได้ นั่นก็คือ ระบบครูซคอนโทรลแบบแปรฝันอัตโนมัติ ที่ใส่เข้ามาใหม่ ซึ่งจะทำงานประสานกับระบบเตือนการชนด้านหน้าตรงและระบบช่วยชะลอความเร็ว FCM ในช่วงการลองระบบนี้ เรานั่งตำแหน่งเป็นผู้โดยสารพบว่า ระบบใช้งานได้จริง
เหมาะกับใคร
ปาเจโร สปอร์ต เอนกประสงค์ครบถ้วน เด่นในเรื่องของการให้ออพชันคุ้มค่าสมราคาที่สุดเมื่อเทียบกับคู่แข่งในระดับเดียวกัน พร้อมกับการรับประกันคุณภาพและฟรีค่าแรงเชคระยะ 5 ปี ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง 3 ปี และบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชม. นาน 3 ปี เรียกว่าให้มากกว่าใครในราคาที่ใกล้เคียงกัน
