xs
xsm
sm
md
lg

ลองขับ “ฟอร์จูนเนอร์ 2.4ขับ4” ดิสก์เบรก4ล้อ จัดว่าคุ้มถ้าเทียบกับรุ่นก่อน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

หากให้นึกถึง พระเอกของรถพีพีวี หรือกระบะดัดแปลงในบ้านเรา ชื่อแรกในหัวของหลายๆ คน จะปรากฎคำว่า “โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์” แน่นอนว่าสิ่งนี้เกิดจากการสะสมชื่อเสียงและความเชื่อถือจากผู้ใช้งาน ทั้งในลักษณะของปากต่อปากและการบอกเล่าผ่านตัวอักษรบนโลกไซเบอร์ ทั้งที่จริงบ้างและโม้เกินเลยไปบ้าง แต่เชื่อไหมว่า โตโยต้ารับฟังทุกความเห็นของลูกค้า แล้วเราจะเล่าให้อ่านกัน



สำหรับ โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ เพิ่งจะปรับโฉมใหม่ แบบหมาดๆ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยได้เพิ่มรุ่นย่อย เครื่องยนต์ 2.4 ลิตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ เข้ามาเป็นทางเลือกใหม่ พร้อมกับการเชิญสื่อมวลชนเข้าร่วมทดสอบ แน่นอนว่า MGR Motoring ไม่พลาด ไปชมกันว่า การปรับโฉมครั้งนี้ของ โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ มีอะไรน่าสนใจบ้าง





ปรับเพิ่ม 20,000 บาท แต่ได้เกินคุ้ม

สิ่งแรกที่ทุกคนอยากรู้ คือ คำว่ารุ่นปรับโฉมนั้น มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง ขอไล่เรียงดังนี้

ทุกรุ่นย่อย ด้านนอกรถปรับ บันไดข้าง, กระจกไฟเลี้ยวและไฟเบรก ดีไซน์ใหม่ พร้อมเปลี่ยนไฟตัดหมอกหน้าเป็นแบบLED ส่วนภายใน เบาะนั่งหนังแท้ผสมหนังสังเคราะห์สีน้ำตาลเข้ม ยกเว้นรุ่นท้อปที่เป็นสีครีมชามัวร์ ทั้งยังเพิ่มเบาะปรับไฟฟ้าด้านคนนั่งอีกหนึ่งตำแหน่ง และย้ายปุ่ม ปิดระบบออโต้ สตาร์ท/สต้อป ที่ทำหน้าที่ดับและติดเครื่องยนต์โดยอัตโนมัติเมื่อรถติด ย้ายจากข้างคนขับมาไว้ที่ คอนโซลกลาง



ขณะที่ไฮไลท์ของการปรับโฉมครั้งนี้คงอยู่ที่ “ดิสก์เบรก 4 ล้อ” ที่ทางโตโยต้า ใส่มาให้ครบทุกรุ่น ยกเว้นรุ่นเกียร์ธรรมดา ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งสิ่งที่โตโยต้า ทำตามคำเรียกร้องของผู้ใช้งาน ที่ส่งผ่านไปถึงทีมผู้บริหารและทีมงานผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์ และก็คงจะมีข้อสงสัยตามมา แล้วเบรกดีขึ้นหรือไม่ คำตอบคือ...

“ระยะเบรกเท่าเดิม” แต่ต้องขอขยายความแบบนี้ ผลลัพท์มาจากการทดสอบบนเงื่อนไขของการขับคนเดียว ไร้ผู้โดยสารหรือการบรรทุกของ และเบรกเต็มแรง ดิสก์เบรก และดรัมเบรกหยุดรถได้ระยะทางที่เท่าเทียมกัน แต่หากมีการบรรทุกคนหรือน้ำหนักเพิ่มขึ้น ดิสก์เบรกจะสามารถหยุดได้ระยะทางที่สั้นกว่า ส่วนความรู้สึกในการเบรกจะขอเล่าในช่วงการทดลองขับขี่ ทั้งหมดนี้ใส่มาโดยเพิ่มราคารุ่นละ 20,000บาท (แค่ดิสก์เบรกก็คุ้มแล้ว)



อุปสรรคยากแค่ไหนก็เอาอยู่

การทดลองขับในรอบนี้ ใช้รถ 2 รุ่นเป็นหลัก คือ 2.4V ซิกมา4 และ 2.8V ซิกมา4 ขับเคลื่อน 4 ล้อทั้งคู่ โดยแบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก คือ การขับบนถนนปกติเส้นทาง บางนา-เขาใหญ่ และการขับแบบออฟโรดหรือเส้นทางวิบาก ซึ่งเราเห็นไลน์ของอุปสรรคแล้วไม่คิดว่าจะผ่านไปได้ แต่ ฟอร์จูนเนอร์ ขับผ่านแบบสบายๆ โดยอาศัยเทคโนโลยีที่ใส่มาให้ในรถ

คันที่เราเน้นคือ รุ่น 2.4V ซิกมา4 ในจุดแรกเป็นการลองระบบ DAC หรือควบคุมความเร็วบนทางลาดชัน บอกเลยว่าทำได้ดีเยี่ยม ไม่ต้องแตะเบรกหรือคันเร่ง รถชะลอตัวค่อยๆ ไหลลงอย่างเนียนๆ ถัดมาเป็นการลองระบบ HAC กับเนินที่มีความชันถึง 45 องศา ยังผ่านไปได้สบาย โดยเราได้หยุดลงค้างกลางเนิน เพื่อลองออกตัว ส่วนผลลัพธ์ที่ได้ รถไม่มีไหลแต่อย่างใด แถมแตะคันเร่งเพียงเบาๆ ก็ไปข้างหน้าได้อย่างนุ่มนวล


มาถึงช่วงลุยน้ำลึกประมาณ 40 ซม. ผ่านฉลุยไม่ต้องห่วง และสุดท้ายการทดลองระบบ A-TRC ป้องกันล้อหมุนฟรี ทำงานด้วยการส่งกำลังจากล้อที่หมุนฟรี หรือไม่แตะพื้น ไปยังล้อที่สัมผัสพื้นอยู่ เพื่อนำพาเราพ้นจากเนินสูงหรือหล่มโคลน ซึ่งทีมงานจัดเตรียมพื้นที่ไว้อย่างยาก ทั้งเนินลูกระนาด, หลุมลึก และเนินเอียงสลับซ้ายขวา ไม่ว่ายากแค่ไหน ฟอร์จูเนอร์ ก็ผ่านไปได้ โดยไม่ต้องอาศัยเทคนิคการขับขี่ แค่เพียงแตะคันเร่งรักษารอบเครื่องราว 1,000 รอบฯ เป็นพอ ระบบทั้งหมดจะนำพาท่านผ่านอุปสรรคไปยังจุดหมายได้อย่างแน่นอน












140 กม./ชม. ยังนิ่งแถมนุ่ม

เข้าสู่ช่วงการขับแบบออนโรดหรือทางหลวงปกติที่เราใช้งานกันเป็นส่วนมาก รุ่นเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร อัตราเร่งช่วงออกตัวถือว่า พอดี ไม่แรงแบบปรู๊ดปร๊าด เพียงพอต่อการนำพาน้ำหนักตัว 2ตันกว่าๆ ลอยลำไปได้สบายๆ ด้วยกำลัง 150 แรงม้า และแรงบิด 400 นิวตันเมตร โดยความเร็วสูงสุดเราขับไปแตะที่ 160 กม./ชม. รถยังนิ่ง (ความเร็วที่ใช้ช่วงสั้นๆ เพื่อการทดสอบเท่านั้น) ส่วนเสียงลมปะทะเริ่มได้ยินที่ความเร็ว 140 กม./ชม. ภาพรวมการป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอกทำได้ประทับใจเกินคาด

การเบรก ยอมรับตรงๆ รู้สึกว่าเบรกตอบสนองไวขึ้น แต่เมื่อต้องการเบรกจริงกลับต้องกดเบรกให้หนักกว่าเดิม ซึ่งทีมวิศวกรของโตโยต้าตอบข้อสงสัยนี้ว่า เบรกไวขึ้นจริง เพราะการเปลี่ยนเป็นดิสก์เบรกนั้นมีลักษณะการทำงานที่ไวกว่าดรัมเบรก และเมื่อต้องการทำการเบรกจริงๆ ก็จำเป็นต้องกดให้หนักขึ้น เนื่องจากมีหน้าสัมผัสน้อยกว่ารุ่นที่เป็นดรัมเบรก แต่อย่างที่บอกไว้ตอนต้น ดิสก์เบรกดีกว่าแน่นอนแต่ต้องทำความคุ้นเคยใหม่

แล้วหากรุ่นก่อนหน้าอยากเปลี่ยนใส่ดิสก์เบรกบ้าง ทำได้หรือไม่ คำตอบคือ ได้ แต่ไม่แนะนำ เนื่องจากต้องเสียค่าใช้จ่ายมากกว่า 150,000 บาท เพราะต้องเปลี่ยนชุดควบคุม ABS ด้วย


ส่วนเรื่องของไฟหน้าที่แยงตาคนขับอื่นนั้น ทางโตโยต้ารับทราบและได้ปรับให้ต่ำลงตั้งแต่ช่วงปีที่แล้ว และหากลูกค้าท่านใดอยากปรับสามารถนำรถเข้าศูนย์บริการให้ช่างปรับไฟหน้าได้ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ โตโยต้ายืนยันระดับความสูงอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานของกรมการขนส่ง100 เปอร์เซ็นต์

การขับในช่วงนี้นับเป็นโชคดีของเราที่มีฝนตกลงมาในบางช่วงบางตอน เราได้ลองขับโหมด 2 ล้อเปรียบเทียบกับการขับแบบ 4 ล้อ เห็นได้อย่างชัดเจนในช่วงทางโค้งที่ถนนเปียก โหมดขับ4 เกาะถนนกว่าอย่างชัดเจน มั่นใจและอุ่นใจในทุกการเข้าโค้ง ทั้งรุ่นเครื่องยนต์ 2.4 และ 2.8 ลิตร แทบไม่แตกต่างในหัวข้อของการเกาะถนนและการทรงตัว

สิ่งที่แตกต่างระหว่างรุ่น 2.4 กับ 2.8 ลิตร นอกจากสีเบาะกับอัตราทดเฟืองท้าย และราคาค่าตัวนั้น คือ จังหวะการออกตัวรุ่น 2.8 ทันใจกว่า เร่งแซงตอบสนองไวกว่า แต่เมื่อรถลอยลำแล้วแทบไม่แตกต่างกัน ขณะที่อัตราการบริโภคน้ำมันของรุ่น 2.4 ขับ4 อยู่ที่ 11.8 กม./ลิตร ในคันที่เราขับ ส่วนตัวเลข 13.9 กม./ลิตร คือ อัตราที่โตโยต้าเคลมและแจ้งไว้บนฉลากอีโคสติกเกอร์



เหมาะกับใคร

สวยถูกใจ ชอบก็ซื้อไป เพราะนี่คือ รถยอดนิยมสำหรับนักเดินทางที่อยากได้รถเอนกประสงค์ เครื่องยนต์ดีเซล อุ่นใจในทุกเส้นทาง เกิดเหตุอะไรช่างคนไหนก็ซ่อมได้ อะไหล่หาได้ทุกพื้นที่ และถ้าให้เลือกระหว่าง รุ่น 2.8 กับ 2.4 ขับเคลื่อน 4 ล้อ เราขอเลือก 2.4 ก็เพียงพอลงตัวกับการใช้งาน ที่ไม่ได้คิดลุย แต่ต้องเตรียมไว้เผื่อเส้นทางที่ไม่คาดฝัน.


ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ MGR Motoring

กำลังโหลดความคิดเห็น