รถยนต์ไฟฟ้า เป็นเทรนด์ที่กำลังก่อร่างสร้างตัว ซึ่งค่ายรถยนต์ทุกค่ายต่างมีมุมมองไปในทิศทางเดียวนี้แทบทั้งสิ้น ว่าสุดท้ายแล้วรถยนต์ในอนาคตทุกคันที่ผลิตออกมา จะมุ่งเน้นไปในเรื่องของ “การลดมลพิษ” ตามข้อกำหนดของยุโรป ซึ่งรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าตอบโจทย์ได้ตรงประเด็นที่สุด

สำหรับการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ชนิดไฟฟ้าล้วนๆ (BEV) ยังคงเป็นเรื่องของอนาคต ด้วยปัจจัยทางด้านของโครงสร้างพื้นฐานที่จะรองรับการให้บริการชาร์จไฟ ในยุโรปเองก็เพิ่งจะเริ่มต้น ส่วนเมืองไทยยังไม่มีความชัดเจน ดังนั้นหากมองที่ ปัจจุบัน รถยนต์ไฟฟ้าลูกผสมชนิด “ปลั้กอิน ไฮบริด(PHEV)” จึงเข้ามาเป็นทางเลือกใหม่ที่สมดุลในช่วงของการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีไฟฟ้าเช่นนี้

“ปลั้กอิน ไฮบริด(PHEV)” ลูกผสมน้ำมัน-ไฟฟ้า
หลายคนอาจจะทราบแล้วว่า รถยนต์แบบ ปลั้กอิน ไฮบริด นั้นเป็นเช่นไร เราจึงขอแค่สรุปความสั้นๆ ให้เข้าใจง่ายๆ ว่า เป็นรถที่ใช้พลังงานร่วมกันระหว่างไฟฟ้าและน้ำมัน เช่นเดียวกับรถไฮบริดที่เรารู้จัก แต่สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาคือ เรื่องของระบบชาร์จไฟฟ้า ที่สามารถเสียบปลั้กชาร์จได้ และยังสามารถวิ่งได้โดยไม่ใช้ น้ำมันเลยสักหยดเป็นระยะทางราว 30-50 กม. ตามแต่ความสเปคของรถแต่ละคัน
นั่นหมายความว่า หากคุณใช้รถยนต์ในระยะทางไป-กลับไม่เกินระยะของรถที่วิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนๆ ได้ คุณก็จะไม่ต้องจ่ายค่าน้ำมันเชื้อเพลิงเลยสักบาท จ่ายแต่เพียงค่าไฟฟ้าในการชาร์จเท่านั้น ซึ่งถูกกว่า และแน่นอนว่า ปล่อยมลพิษน้อยกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย

สำหรับเมืองไทยมีรถยนต์แบบปลั้กอิน ทำตลาดอยู่หลากหลายรุ่นด้วยกัน ซึ่งล่าสุดที่เปิดตัวและสร้างกระแสได้อย่างน่าทึ่งนั่นก็คือ “เมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส” E350e แค่ในงานเปิดตัวกับลูกค้า ก็มีลูกค้าจองกันอย่างเหนือความคาดหมาย มาดูกันว่า ในรถระดับนี้ ปลั้กอินของแต่ละค่ายน่าสนใจเพียงใด
เริ่มกันที่ เมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส เจ้าแรกที่เข้ามาทำตลาดในเซกเม้นท์นี้ โดยเป็นรถที่ประกอบในประเทศ มี 3 รุ่นย่อยให้เลือกคบหา สนนราคา 3.49 ล้านบาทในรุ่น อาวังการ์ด, 3.79 ล้านบาทในรุ่น เอ็กซ์คลูซีฟ และ 4.09 ล้านบาท ในรุ่น เอเอ็มจี ไดนามิค หลังการเปิดตัวทั้ง 3 รุ่นนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประกาศชัดเจนยุติการทำตลาดเครื่องยนต์ดีเซลและจะมุ่นเป้าทำตลาดเครื่องยนต์แบบปลั้กอินไฮบริดแทน

สำหรับคู่แข่งอย่างบีเอ็มดับเบิลยู รถที่อยู่ในเซกเมนท์นี้คือ 530e iPerformance ซึ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการในตลาดโลกไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา และกว่าจะเข้ามาทำตลาดในเมืองไทย คาดว่าจะประมาณช่วงปีหน้าเป็นอย่างเร็ว ขณะที่อีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ “วอลโว่ S90 T8 Twin Engine รถแบบปลั้กอิน จากแดนไวกิ้ง ที่เปิดตัวไปเมื่อปีที่แล้ว
จุดร่วมกันของทั้ง 3 รุ่นนอกจากระบบปลั้กอินไฮบริดแล้วยังเป็นเรื่องของขนาดเครื่องยนต์ที่เป็นแบบเบนซินและมีความจุ 2.0 ลิตรเท่ากัน ส่วนแบตเตอรี่และพละกำลังนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งวอลโว่ S90 มีพละกำลังรวมและแรงบิด มากที่สุด อัตราเร่งก็ดีที่สุดด้วยเช่นกัน

สำหรับคู่แข่งอย่างบีเอ็มดับเบิลยู รถที่อยู่ในเซกเมนท์นี้คือ 530e iPerformance ซึ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการในตลาดโลกไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา และกว่าจะเข้ามาทำตลาดในเมืองไทย คาดว่าจะประมาณช่วงปีหน้าเป็นอย่างเร็ว ขณะที่อีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ “วอลโว่ S90 T8 Twin Engine รถแบบปลั้กอิน จากแดนไวกิ้ง ที่เปิดตัวไปเมื่อปีที่แล้ว
จุดร่วมกันของทั้ง 3 รุ่นนอกจากระบบปลั้กอินไฮบริดแล้วยังเป็นเรื่องของขนาดเครื่องยนต์ที่เป็นแบบเบนซินและมีความจุ 2.0 ลิตรเท่ากัน ส่วนแบตเตอรี่และพละกำลังนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งวอลโว่ S90 มีพละกำลังรวมและแรงบิด มากที่สุด อัตราเร่งก็ดีที่สุดด้วยเช่นกัน




ขณะที่จุดเด่นของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ E350e อยู่ที่เรื่องของช่วงล่างแบบถุงลมที่ให้ความรู้สึกสบายตลอดการเดินทาง รวมถึงการบรรจุเกียร์ชุดใหม่ล่าสุด 9 สปีด ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ขึ้นชื่อในเรื่องของความประหยัด แม้ตัวเลขอ้างอิงจะน้อยกว่าค่ายอื่นแต่เมอร์เซเดส-เบนซ์มั่นใจ เมื่ออยู่ในโหมดของการใช้งานจริง
สำหรับ ตัวเก่งของค่ายใบพัดฟ้าขาว มีระยะทางวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนไกลที่สุดที่ระดับ 50 กิโลเมตร และมีตัวเลขด้านอัตราการบริโภคน้ำมันที่ดีที่สุดด้วยเช่นกัน รวมไปถึงเรื่องของแบตเตอรี่ที่แบ่งเป็นเซลล์ สามารถเปลี่ยนแบตแยกเฉพาะเซลล์ที่เสียหรือเสื่อมสภาพได้ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยแบตเตอรี่ทั้งลูกซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่ามาก ส่วนตัวเลขอื่นๆ ให้ดูตารางประกอบการพิจารณา




อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าในเวลานี้มีเพียงค่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ เท่านั้นที่มีรถพร้อมทำการขายในเมืองไทย แต่เชื่อว่าอีกไม่นานคู่แข่งก็จะต้องแจ้งเกิดรถยนต์แบบปลั้กอินไฮบริดออกมาชนิดไม่ยอมน้อยหน้าซึ่งกันและกัน ใครที่กำลังมองหารถปลั้กอินไฮบริดไว้ใช้งานสักคัน หากยังไม่รีบร้อน ก็อดใจรออีกสักหน่อย อย่างน้อยรอจนถึงเวลาที่รัฐบาลเคาะตัวเลขสนับสนุนทางด้านอัตราภาษีกับรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเรียบร้อยแล้ว ก็ยังไม่สายที่จะตัดสินใจ เว้นแต่คุณคือ ใครบางคนที่ชอบนำหน้าคนอื่นเสมอ ก็ซื้อไปได้เลย
สำหรับการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ชนิดไฟฟ้าล้วนๆ (BEV) ยังคงเป็นเรื่องของอนาคต ด้วยปัจจัยทางด้านของโครงสร้างพื้นฐานที่จะรองรับการให้บริการชาร์จไฟ ในยุโรปเองก็เพิ่งจะเริ่มต้น ส่วนเมืองไทยยังไม่มีความชัดเจน ดังนั้นหากมองที่ ปัจจุบัน รถยนต์ไฟฟ้าลูกผสมชนิด “ปลั้กอิน ไฮบริด(PHEV)” จึงเข้ามาเป็นทางเลือกใหม่ที่สมดุลในช่วงของการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีไฟฟ้าเช่นนี้
“ปลั้กอิน ไฮบริด(PHEV)” ลูกผสมน้ำมัน-ไฟฟ้า
หลายคนอาจจะทราบแล้วว่า รถยนต์แบบ ปลั้กอิน ไฮบริด นั้นเป็นเช่นไร เราจึงขอแค่สรุปความสั้นๆ ให้เข้าใจง่ายๆ ว่า เป็นรถที่ใช้พลังงานร่วมกันระหว่างไฟฟ้าและน้ำมัน เช่นเดียวกับรถไฮบริดที่เรารู้จัก แต่สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาคือ เรื่องของระบบชาร์จไฟฟ้า ที่สามารถเสียบปลั้กชาร์จได้ และยังสามารถวิ่งได้โดยไม่ใช้ น้ำมันเลยสักหยดเป็นระยะทางราว 30-50 กม. ตามแต่ความสเปคของรถแต่ละคัน
นั่นหมายความว่า หากคุณใช้รถยนต์ในระยะทางไป-กลับไม่เกินระยะของรถที่วิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนๆ ได้ คุณก็จะไม่ต้องจ่ายค่าน้ำมันเชื้อเพลิงเลยสักบาท จ่ายแต่เพียงค่าไฟฟ้าในการชาร์จเท่านั้น ซึ่งถูกกว่า และแน่นอนว่า ปล่อยมลพิษน้อยกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย
สำหรับเมืองไทยมีรถยนต์แบบปลั้กอิน ทำตลาดอยู่หลากหลายรุ่นด้วยกัน ซึ่งล่าสุดที่เปิดตัวและสร้างกระแสได้อย่างน่าทึ่งนั่นก็คือ “เมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส” E350e แค่ในงานเปิดตัวกับลูกค้า ก็มีลูกค้าจองกันอย่างเหนือความคาดหมาย มาดูกันว่า ในรถระดับนี้ ปลั้กอินของแต่ละค่ายน่าสนใจเพียงใด
เริ่มกันที่ เมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส เจ้าแรกที่เข้ามาทำตลาดในเซกเม้นท์นี้ โดยเป็นรถที่ประกอบในประเทศ มี 3 รุ่นย่อยให้เลือกคบหา สนนราคา 3.49 ล้านบาทในรุ่น อาวังการ์ด, 3.79 ล้านบาทในรุ่น เอ็กซ์คลูซีฟ และ 4.09 ล้านบาท ในรุ่น เอเอ็มจี ไดนามิค หลังการเปิดตัวทั้ง 3 รุ่นนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประกาศชัดเจนยุติการทำตลาดเครื่องยนต์ดีเซลและจะมุ่นเป้าทำตลาดเครื่องยนต์แบบปลั้กอินไฮบริดแทน
สำหรับคู่แข่งอย่างบีเอ็มดับเบิลยู รถที่อยู่ในเซกเมนท์นี้คือ 530e iPerformance ซึ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการในตลาดโลกไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา และกว่าจะเข้ามาทำตลาดในเมืองไทย คาดว่าจะประมาณช่วงปีหน้าเป็นอย่างเร็ว ขณะที่อีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ “วอลโว่ S90 T8 Twin Engine รถแบบปลั้กอิน จากแดนไวกิ้ง ที่เปิดตัวไปเมื่อปีที่แล้ว
จุดร่วมกันของทั้ง 3 รุ่นนอกจากระบบปลั้กอินไฮบริดแล้วยังเป็นเรื่องของขนาดเครื่องยนต์ที่เป็นแบบเบนซินและมีความจุ 2.0 ลิตรเท่ากัน ส่วนแบตเตอรี่และพละกำลังนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งวอลโว่ S90 มีพละกำลังรวมและแรงบิด มากที่สุด อัตราเร่งก็ดีที่สุดด้วยเช่นกัน
สำหรับคู่แข่งอย่างบีเอ็มดับเบิลยู รถที่อยู่ในเซกเมนท์นี้คือ 530e iPerformance ซึ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการในตลาดโลกไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา และกว่าจะเข้ามาทำตลาดในเมืองไทย คาดว่าจะประมาณช่วงปีหน้าเป็นอย่างเร็ว ขณะที่อีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ “วอลโว่ S90 T8 Twin Engine รถแบบปลั้กอิน จากแดนไวกิ้ง ที่เปิดตัวไปเมื่อปีที่แล้ว
จุดร่วมกันของทั้ง 3 รุ่นนอกจากระบบปลั้กอินไฮบริดแล้วยังเป็นเรื่องของขนาดเครื่องยนต์ที่เป็นแบบเบนซินและมีความจุ 2.0 ลิตรเท่ากัน ส่วนแบตเตอรี่และพละกำลังนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งวอลโว่ S90 มีพละกำลังรวมและแรงบิด มากที่สุด อัตราเร่งก็ดีที่สุดด้วยเช่นกัน
ขณะที่จุดเด่นของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ E350e อยู่ที่เรื่องของช่วงล่างแบบถุงลมที่ให้ความรู้สึกสบายตลอดการเดินทาง รวมถึงการบรรจุเกียร์ชุดใหม่ล่าสุด 9 สปีด ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ขึ้นชื่อในเรื่องของความประหยัด แม้ตัวเลขอ้างอิงจะน้อยกว่าค่ายอื่นแต่เมอร์เซเดส-เบนซ์มั่นใจ เมื่ออยู่ในโหมดของการใช้งานจริง
สำหรับ ตัวเก่งของค่ายใบพัดฟ้าขาว มีระยะทางวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนไกลที่สุดที่ระดับ 50 กิโลเมตร และมีตัวเลขด้านอัตราการบริโภคน้ำมันที่ดีที่สุดด้วยเช่นกัน รวมไปถึงเรื่องของแบตเตอรี่ที่แบ่งเป็นเซลล์ สามารถเปลี่ยนแบตแยกเฉพาะเซลล์ที่เสียหรือเสื่อมสภาพได้ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยแบตเตอรี่ทั้งลูกซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่ามาก ส่วนตัวเลขอื่นๆ ให้ดูตารางประกอบการพิจารณา
อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าในเวลานี้มีเพียงค่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ เท่านั้นที่มีรถพร้อมทำการขายในเมืองไทย แต่เชื่อว่าอีกไม่นานคู่แข่งก็จะต้องแจ้งเกิดรถยนต์แบบปลั้กอินไฮบริดออกมาชนิดไม่ยอมน้อยหน้าซึ่งกันและกัน ใครที่กำลังมองหารถปลั้กอินไฮบริดไว้ใช้งานสักคัน หากยังไม่รีบร้อน ก็อดใจรออีกสักหน่อย อย่างน้อยรอจนถึงเวลาที่รัฐบาลเคาะตัวเลขสนับสนุนทางด้านอัตราภาษีกับรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเรียบร้อยแล้ว ก็ยังไม่สายที่จะตัดสินใจ เว้นแต่คุณคือ ใครบางคนที่ชอบนำหน้าคนอื่นเสมอ ก็ซื้อไปได้เลย