สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) เดินหน้าผลักดันการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ขึ้นเป็น 5-10 เปอร์เซ็นต์ของการใช้รถยนต์ใหม่ในอีก 5-8 ปี ชี้เห็นโอกาสการพัฒนาตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้มที่ราคาแข่งขันได้กับยานยนต์เครื่องยนต์และยังส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง พร้อมจับมือ ยูบีเอ็ม เอเชีย (ประเทศไทย) จัดประชุมวิชาการ iEVTech 2017 ระดับอินเตอร์ชูนวัตกรรมแห่งการขับเคลื่อนอย่างยั่งยืน
กระแสการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องภายในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปี จากกระแสของโลกที่ส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าและจากที่รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการเดินหน้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 และ ไทยแลนด์ 4.0 ที่มีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการยกระดับประเทศ โดยทำให้เกิดความสนใจในการใช้ยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นตามลำดับ แม้การเติบโตจะไม่ร้อนแรงแต่ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้า ไม่เพียงแต่บ่งบอกถึงกระแสการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงานมากขึ้น แต่ยังชี้ให้เห็นถึงทิศทางและอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยที่น่าจะเติบโตต่อเนื่องอย่างยั่งยืน
ดร. ยศพงษ์ ลออนวล นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) เปิดเผยว่า ตามที่หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง อาทิ BOI กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงคมนาคม และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีแผนที่จะผลักดันให้มีการผลิตและใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยนั้น ทางสมาคมฯยินดีสนับสนุนนโยบายของภาครัฐอย่างเต็มที่ ซึ่งคาดว่าจะเกิดการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าใหม่ (PHEV & BEV) มากขึ้น เป็นสัดส่วน 5-10 เปอร์เซ็นต์ของรถยนต์ใหม่ทั้งหมด ภายในปี ค.ศ.2025 (พ.ศ. 2568) จากปัจจุบันที่มียอดการใช้ในสัดส่วนที่น้อยกว่า 0.1 เปอร์เซ็นต์ ของยอดการใช้ภายในประเทศไทย (รถยนต์ใหม่ที่มีการผลิตในประเทศประมาณ 8 แสนคันต่อปี)
“ยานยนต์ไฟฟ้าได้เริ่มมีการกล่าวถึงและเป็นที่รู้จักมากขึ้น ทั้งจากนโยบายของรัฐบาลที่จะผลักดันให้หน่วยงานภาครัฐมีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า และจากองค์กรและบริษัทเอกชนเองที่ตระหนักถึงความจำเป็นที่จะใช้รถยนต์ไฟฟ้า อีกทั้งกระทรวงพลังงานมีแผนที่จะติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า (Charging Station) จำนวนไม่น้อยกว่า 150 สถานีให้ได้ทั่วประเทศภายในปี 2562 ทำให้เกิดการตื่นตัวในเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจัง” ดร.ยศพงษ์กล่าว
ทั้งนี้ยานยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินมี 2 ประเภทที่เป็นที่นิยมอยู่ในตลาดโลก ได้แก่ ยานยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid Electric Vehicle - PHEV) และ ยานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle - BEV) โดยในปัจจุบันประเทศไทยมีการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า และรถมอเตอร์ไซด์ไฟฟ้า ประเภท BEV จำนวนประมาณ 50 คัน และ 1,300 คัน ตามลำดับ โดยเป้าหมายในระยะยาวที่รัฐบาลไทยได้ตั้งไว้ คือการส่งเสริมให้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (PHEV & BEV) ทั้งประเทศให้ถึง 1.2 ล้านคัน ในปีพ.ศ. 2579 หรือในอีก 19 ปีข้างหน้า
ดร. ยศพงษ์ ยังกล่าวอีกว่า จากแผนของภาครัฐ ร่วมกับหน่วยงานภาคเอกชนที่จะส่งเสริมสนับสนุนเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยในอนาคตรถยนต์ไฟฟ้าจะสามารถวิ่งได้ระยะเวลาทาง 300 กิโลเมตร ต่อการชาร์ตหนึ่งครั้ง และมีราคาที่สามารถแข่งขันได้ ก็จะเป็นการส่งเสริมให้เกิดการใช้งานมากขึ้น นอกจากนี้ยานยนต์ไฟฟ้ายังสามารถช่วยประหยัดพลังงานและลดต้นทุนการใช้พลังงานได้มากกว่า 1 ใน 4 เมื่อเทียบกับรถยนต์ทั่วไปที่ใช้น้ำมัน รวมทั้งจะช่วยส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมและเทคโนโลยีอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น Car Sharing, V2G (Vehicle to Grid), ยานยนต์ขับขี่อัตโนมัติ (Autonomous vehicle) เป็นต้น
เพื่อเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้เรื่องของเทคโนโลยีและนวัตกรรมในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ทางสมาคมฯ ได้ร่วมกับ ยูบีเอ็ม เอเชีย (ประเทศไทย) และกระทรวงต่างประเทศ จัดการประชุมและนิทรรศการระดับนานาชาติ “2nd International Electric Vehicle Technology Conference หรือ iEVTech 2017 ขึ้นอีกครั้งในปีนี้ ซึ่งจะเป็นอีกงานสำคัญที่จะจัดขึ้นภายในงาน ASEAN Sustainable Energy Week 2017 งานนิทรรศการด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมที่ยิ่งใหญ่และครบครันที่สุดในอาเซียน ที่จะจัดขึ้นในเดือนมิถุนายนนี้
กระแสการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องภายในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปี จากกระแสของโลกที่ส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าและจากที่รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการเดินหน้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 และ ไทยแลนด์ 4.0 ที่มีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการยกระดับประเทศ โดยทำให้เกิดความสนใจในการใช้ยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นตามลำดับ แม้การเติบโตจะไม่ร้อนแรงแต่ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้า ไม่เพียงแต่บ่งบอกถึงกระแสการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงานมากขึ้น แต่ยังชี้ให้เห็นถึงทิศทางและอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยที่น่าจะเติบโตต่อเนื่องอย่างยั่งยืน
ดร. ยศพงษ์ ลออนวล นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) เปิดเผยว่า ตามที่หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง อาทิ BOI กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงคมนาคม และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีแผนที่จะผลักดันให้มีการผลิตและใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยนั้น ทางสมาคมฯยินดีสนับสนุนนโยบายของภาครัฐอย่างเต็มที่ ซึ่งคาดว่าจะเกิดการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าใหม่ (PHEV & BEV) มากขึ้น เป็นสัดส่วน 5-10 เปอร์เซ็นต์ของรถยนต์ใหม่ทั้งหมด ภายในปี ค.ศ.2025 (พ.ศ. 2568) จากปัจจุบันที่มียอดการใช้ในสัดส่วนที่น้อยกว่า 0.1 เปอร์เซ็นต์ ของยอดการใช้ภายในประเทศไทย (รถยนต์ใหม่ที่มีการผลิตในประเทศประมาณ 8 แสนคันต่อปี)
“ยานยนต์ไฟฟ้าได้เริ่มมีการกล่าวถึงและเป็นที่รู้จักมากขึ้น ทั้งจากนโยบายของรัฐบาลที่จะผลักดันให้หน่วยงานภาครัฐมีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า และจากองค์กรและบริษัทเอกชนเองที่ตระหนักถึงความจำเป็นที่จะใช้รถยนต์ไฟฟ้า อีกทั้งกระทรวงพลังงานมีแผนที่จะติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า (Charging Station) จำนวนไม่น้อยกว่า 150 สถานีให้ได้ทั่วประเทศภายในปี 2562 ทำให้เกิดการตื่นตัวในเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจัง” ดร.ยศพงษ์กล่าว
ทั้งนี้ยานยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินมี 2 ประเภทที่เป็นที่นิยมอยู่ในตลาดโลก ได้แก่ ยานยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid Electric Vehicle - PHEV) และ ยานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle - BEV) โดยในปัจจุบันประเทศไทยมีการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า และรถมอเตอร์ไซด์ไฟฟ้า ประเภท BEV จำนวนประมาณ 50 คัน และ 1,300 คัน ตามลำดับ โดยเป้าหมายในระยะยาวที่รัฐบาลไทยได้ตั้งไว้ คือการส่งเสริมให้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (PHEV & BEV) ทั้งประเทศให้ถึง 1.2 ล้านคัน ในปีพ.ศ. 2579 หรือในอีก 19 ปีข้างหน้า
ดร. ยศพงษ์ ยังกล่าวอีกว่า จากแผนของภาครัฐ ร่วมกับหน่วยงานภาคเอกชนที่จะส่งเสริมสนับสนุนเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยในอนาคตรถยนต์ไฟฟ้าจะสามารถวิ่งได้ระยะเวลาทาง 300 กิโลเมตร ต่อการชาร์ตหนึ่งครั้ง และมีราคาที่สามารถแข่งขันได้ ก็จะเป็นการส่งเสริมให้เกิดการใช้งานมากขึ้น นอกจากนี้ยานยนต์ไฟฟ้ายังสามารถช่วยประหยัดพลังงานและลดต้นทุนการใช้พลังงานได้มากกว่า 1 ใน 4 เมื่อเทียบกับรถยนต์ทั่วไปที่ใช้น้ำมัน รวมทั้งจะช่วยส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมและเทคโนโลยีอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น Car Sharing, V2G (Vehicle to Grid), ยานยนต์ขับขี่อัตโนมัติ (Autonomous vehicle) เป็นต้น
เพื่อเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้เรื่องของเทคโนโลยีและนวัตกรรมในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ทางสมาคมฯ ได้ร่วมกับ ยูบีเอ็ม เอเชีย (ประเทศไทย) และกระทรวงต่างประเทศ จัดการประชุมและนิทรรศการระดับนานาชาติ “2nd International Electric Vehicle Technology Conference หรือ iEVTech 2017 ขึ้นอีกครั้งในปีนี้ ซึ่งจะเป็นอีกงานสำคัญที่จะจัดขึ้นภายในงาน ASEAN Sustainable Energy Week 2017 งานนิทรรศการด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมที่ยิ่งใหญ่และครบครันที่สุดในอาเซียน ที่จะจัดขึ้นในเดือนมิถุนายนนี้