ก้าวเข้าสู่เจเนอเรชันที่ 7 แล้วสำหรับ บีเอ็มดับเบิลยู “ซีรี่ส์ 5 “ รถยนต์ขนาดกลางตัวขายดีของค่ายใบพัดฟ้าขาว ซึ่งทำตลาดมาตั้งแต่ปี 1972 เป็นหนึ่งในอนุกรมที่มีประวัติโชกโชนยาวนาน กับการเป็นรถบุกเบิกเทคโนโลยีใหม่หลายหลากประการ เช่น ล่าสุดกับระบบช่วยจอดอัตโนมัติ
สำหรับ ซีรี่ส์ 5 โฉมใหม่มากับรหัสตัวถัง G30 เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเวทีโลกเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ และอีกเพียง 2 สัปดาห์เศษ ก็มาเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเมืองไทย เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ นับว่าเป็นการให้ความสำคัญกับตลาดเมืองไทยอย่างยิ่งสำหรับค่าบใบพัดฟ้าขาว และแน่นอนหลังการเปิดตัวก็จะมีทริปทดสอบให้สื่อมวลชนได้ทดลองขับ MGR มอเตอริ่ง ไม่พลาด ไปดูกันว่า ซีรี่ส์5 ใหม่นี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง
ใหญ่ขึ้น เบาลง ลูกเล่นล้น
ซีรี่ส์ 5 โฉม G30 นี้ เมื่อเทียบกับโฉมก่อนหน้ารหัส F นั้นจะมีขนาดกว้าง-ยาว-สูงกว่าในทุกมิติ แต่ทว่ากลับมีน้ำหนักโดยรวมที่เบาลงกว่าถึง 100 กิโลกรัม อีกทั้งยังมีการออกแบบให้ลู่ลมมากขึ้นกว่าเดิมถึง 10% โดยมีอัตราค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศอยู่ที่ 0.22 เท่านั้น เรียกว่า ต่ำสุดในรถยนต์แบบซีดาน ณ เวลานี้
กุญแจของซีรี่ส์ 5 ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญ ด้วยความเป็นกุญแจอัจฉริยะที่นอกจากเปิด-ปิดรถแล้วยังสามารถควบคุมรถพร้อมแสดงข้อมูลต่างๆ ของตัวรถได้ เช่น สั่งให้เปิดแอร์ หรือแสดงปริมาณน้ำมันและระยะทางวิ่งที่สามารถวิ่งได้ โดยกุญแจนี้จะต้องชาร์จอย่างสม่ำเสมอคล้ายมือถือ ผ่านเครื่องชาร์จไร้สายหรือพอร์ต USB ทั่วไป
ในส่วนของลูกเล่นเด็ด ไฮไลท์ที่ใช้ประโยชน์ได้จริงคือ ระบบช่วยนำรถเข้าจอด ซึ่งสามารถทำได้ง่ายดายเพียงกดปุ่มด้วยนิ้วเดียว และยังสามารถถอยเข้าจอดได้ทั้งแบบขนาน(ขอให้มีพื้นที่เหลือมากกว่า 80 ซม. และแบบเข้าซองแนวตั้ง โดยใช้ระบบอัลตร้าโซนิคเซนเซอร์ในการตรวจจับ
ระบบ เกสเตอร์ คอนโทรล(Gesture Control) อีกหนึ่งลูกเล่นขาประจำของค่ายใบพัดฟ้าขาว ที่ปกติจะอยู่ในรุ่นซีรี่ส์7 เป็นหลัก คราวนี้นำมาใส่ไว้ในซีรี่ส์ 5 ด้วย ให้คุณได้สามารถเสกเวทมนต์ หมุนนิ้วกลางอากาศเพื่อปรับระดับความดังของเครื่องเสียงได้ รวมถึงรับหรือไม่รับโทรศัพท์ได้อีกด้วย
ลูกเล่นสุดท้ายที่ประทับใจเราสุดๆ คือ เมื่อปรับโหมดการขับ หน้าปัดจะเปลี่ยนสีและรูปแบบของการแสดงผลให้สอดคล้องกับโหมดที่เลือกใช้ และนี่คือลูกเล่นเด่นๆ แต่หากจะให้บรรยายทั้งหมดพื้นที่คงไม่พอ เราขอจบไว้เท่านี้ก่อน
นุ่มนวล เกาะถนน แรง ประหยัด
มาต่อกันด้วยเรื่องของการขับขี่ ทาง บีเอ็มดับเบิลยู จัดสถานที่ให้เราทดลองขับเป็น 3 สถานีหลัก ได้แก่ จุดแรกทดลองระบบช่วยจอดอัตโนมัติ ซึ่งต้องบอกว่า ทำได้ง่าย ทำได้จริง ด้วยการกดปุ่มเพียงปุ่มเดียวเท่านั้น เข้าใกล้คำว่า รถขับเคลื่อนอัตโนมัติ หรือรถไร้คนขับไปทุกขณะแล้วสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยียุคนี้
ถัดมาเป็นสถานี สลาลม ให้เรา ได้ทดสอบการทรงตัวและอัตราเร่ง การเข้าโค้งแบบยูเทิร์น คันที่เราขับเป็นรุ่น 520d เครื่องยนต์ดีเซล หัวใจขนาด 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร เคลมอัตราการบริโภคน้ำมันไว้ที่ 20 กม./ลิตร อัตราการปล่อยไอเสีย 132 กรัม/กม. อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 7.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 235 กม./ชม.
แม้จะเป็นเครื่องยนต์ตัวเดิมกับที่ประจำการในรุ่นก่อนหน้า แต่ด้วยน้ำหนักตัวที่ลดลงทำให้สมรรถนะโดยรวมถือว่าดีขึ้น และค่อนข้างประทับใจเรา การเข้าโค้งแบบสลาลม เกาะถนนดี พวงมาลัยคม ไม่รู้สึกเลยว่าขับรถซีดานขนาดกลางที่มีตัวถังใหญ่ จะมีบ้างเมื่อเข้าโค้งยูเทิร์นแบบแรงเกินไป จะทำให้เสียอาการแต่ก็สามารถแก้กลับมาได้ไม่ยาก
และสถานีสุดท้าย เป็นทางยาวทดลองการหักหลบแบบกระทันหัน พร้อมทั้งอัตราเร่งบนระยะทางสั้นๆ โดยให้ขับเปรียบเทียบกันระหว่างรุ่น 520d ดีเซล กับรุ่น 530i M sport เบนซิน เพื่อจะได้ทราบถึงความแตกต่างระหว่างทั้ง 2 รุ่น ผลลัพท์ก็คือ
รุ่น 530i M sport ขับสนุกกว่า อัตราเร่งดีกว่า และการทรงตัวเวลาออกโค้งแรงๆ ทำได้นิ่งกว่า ทั้งนี้เป็นเพราะเครื่องยนต์ที่มีพละกำลังมากขึ้นกว่ารุ่นเดิม จากที่ระดับ 218 แรงม้า กลายมาเป็น 252 แรงม้า พร้อมระบบช่วงล่างที่เซตมาให้มีระดับต่ำลง 10 มิลลิเมตร และเบรกเป็นแบบ 4 พอท ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่ผลการขับจะดีกว่ารุ่นเครื่องยนต์ดีเซล
นอกจากนั้นเมื่อมองตัวเลขอื่นๆ ของ 530i จะพบว่ามี แรงบิด 350 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ในเวลา 6.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. ทุกอย่างเหนือกว่ารุ่น 520d อย่างไม่ต้องสงสัย แน่นอนว่าเมื่ออุปกรณ์และลูกเล่นเยอะกว่า จึงทำให้มีราคาแพงกว่า โดยรุ่น 530i M Sport ราคา 4.399 ล้านบาท ส่วน 520d ราคา 3.899 ล้านบาท
เหมาะกับใคร
บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 5 ใหม่ มากับลูกเล่นและอุปกรณ์ที่หลากหลายใช้งานได้อย่างล้นมือ สิ่งสำคัญสำหรับคนที่กำลังมองอยู่ แน่นอนว่าจุดขายคือ ความโดดเด่นของสมรรถนะตามแบบฉบับเหล่าบิมเมอร์ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ รวมถึงเทคโนโลยีด้านการใช้งานที่ให้มาล้ำหน้าคู่แข่งหนึ่งก้าวเสมอ ซีรี่ส์ 5 จึงเป็นทางเลือกของผู้บริหารรุ่นใหม่ที่ใจเรียกร้องให้ขับเอง
สำหรับ ซีรี่ส์ 5 โฉมใหม่มากับรหัสตัวถัง G30 เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเวทีโลกเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ และอีกเพียง 2 สัปดาห์เศษ ก็มาเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเมืองไทย เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ นับว่าเป็นการให้ความสำคัญกับตลาดเมืองไทยอย่างยิ่งสำหรับค่าบใบพัดฟ้าขาว และแน่นอนหลังการเปิดตัวก็จะมีทริปทดสอบให้สื่อมวลชนได้ทดลองขับ MGR มอเตอริ่ง ไม่พลาด ไปดูกันว่า ซีรี่ส์5 ใหม่นี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง
ใหญ่ขึ้น เบาลง ลูกเล่นล้น
ซีรี่ส์ 5 โฉม G30 นี้ เมื่อเทียบกับโฉมก่อนหน้ารหัส F นั้นจะมีขนาดกว้าง-ยาว-สูงกว่าในทุกมิติ แต่ทว่ากลับมีน้ำหนักโดยรวมที่เบาลงกว่าถึง 100 กิโลกรัม อีกทั้งยังมีการออกแบบให้ลู่ลมมากขึ้นกว่าเดิมถึง 10% โดยมีอัตราค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศอยู่ที่ 0.22 เท่านั้น เรียกว่า ต่ำสุดในรถยนต์แบบซีดาน ณ เวลานี้
กุญแจของซีรี่ส์ 5 ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญ ด้วยความเป็นกุญแจอัจฉริยะที่นอกจากเปิด-ปิดรถแล้วยังสามารถควบคุมรถพร้อมแสดงข้อมูลต่างๆ ของตัวรถได้ เช่น สั่งให้เปิดแอร์ หรือแสดงปริมาณน้ำมันและระยะทางวิ่งที่สามารถวิ่งได้ โดยกุญแจนี้จะต้องชาร์จอย่างสม่ำเสมอคล้ายมือถือ ผ่านเครื่องชาร์จไร้สายหรือพอร์ต USB ทั่วไป
ในส่วนของลูกเล่นเด็ด ไฮไลท์ที่ใช้ประโยชน์ได้จริงคือ ระบบช่วยนำรถเข้าจอด ซึ่งสามารถทำได้ง่ายดายเพียงกดปุ่มด้วยนิ้วเดียว และยังสามารถถอยเข้าจอดได้ทั้งแบบขนาน(ขอให้มีพื้นที่เหลือมากกว่า 80 ซม. และแบบเข้าซองแนวตั้ง โดยใช้ระบบอัลตร้าโซนิคเซนเซอร์ในการตรวจจับ
ระบบ เกสเตอร์ คอนโทรล(Gesture Control) อีกหนึ่งลูกเล่นขาประจำของค่ายใบพัดฟ้าขาว ที่ปกติจะอยู่ในรุ่นซีรี่ส์7 เป็นหลัก คราวนี้นำมาใส่ไว้ในซีรี่ส์ 5 ด้วย ให้คุณได้สามารถเสกเวทมนต์ หมุนนิ้วกลางอากาศเพื่อปรับระดับความดังของเครื่องเสียงได้ รวมถึงรับหรือไม่รับโทรศัพท์ได้อีกด้วย
ลูกเล่นสุดท้ายที่ประทับใจเราสุดๆ คือ เมื่อปรับโหมดการขับ หน้าปัดจะเปลี่ยนสีและรูปแบบของการแสดงผลให้สอดคล้องกับโหมดที่เลือกใช้ และนี่คือลูกเล่นเด่นๆ แต่หากจะให้บรรยายทั้งหมดพื้นที่คงไม่พอ เราขอจบไว้เท่านี้ก่อน
นุ่มนวล เกาะถนน แรง ประหยัด
มาต่อกันด้วยเรื่องของการขับขี่ ทาง บีเอ็มดับเบิลยู จัดสถานที่ให้เราทดลองขับเป็น 3 สถานีหลัก ได้แก่ จุดแรกทดลองระบบช่วยจอดอัตโนมัติ ซึ่งต้องบอกว่า ทำได้ง่าย ทำได้จริง ด้วยการกดปุ่มเพียงปุ่มเดียวเท่านั้น เข้าใกล้คำว่า รถขับเคลื่อนอัตโนมัติ หรือรถไร้คนขับไปทุกขณะแล้วสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยียุคนี้
ถัดมาเป็นสถานี สลาลม ให้เรา ได้ทดสอบการทรงตัวและอัตราเร่ง การเข้าโค้งแบบยูเทิร์น คันที่เราขับเป็นรุ่น 520d เครื่องยนต์ดีเซล หัวใจขนาด 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร เคลมอัตราการบริโภคน้ำมันไว้ที่ 20 กม./ลิตร อัตราการปล่อยไอเสีย 132 กรัม/กม. อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 7.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 235 กม./ชม.
แม้จะเป็นเครื่องยนต์ตัวเดิมกับที่ประจำการในรุ่นก่อนหน้า แต่ด้วยน้ำหนักตัวที่ลดลงทำให้สมรรถนะโดยรวมถือว่าดีขึ้น และค่อนข้างประทับใจเรา การเข้าโค้งแบบสลาลม เกาะถนนดี พวงมาลัยคม ไม่รู้สึกเลยว่าขับรถซีดานขนาดกลางที่มีตัวถังใหญ่ จะมีบ้างเมื่อเข้าโค้งยูเทิร์นแบบแรงเกินไป จะทำให้เสียอาการแต่ก็สามารถแก้กลับมาได้ไม่ยาก
และสถานีสุดท้าย เป็นทางยาวทดลองการหักหลบแบบกระทันหัน พร้อมทั้งอัตราเร่งบนระยะทางสั้นๆ โดยให้ขับเปรียบเทียบกันระหว่างรุ่น 520d ดีเซล กับรุ่น 530i M sport เบนซิน เพื่อจะได้ทราบถึงความแตกต่างระหว่างทั้ง 2 รุ่น ผลลัพท์ก็คือ
รุ่น 530i M sport ขับสนุกกว่า อัตราเร่งดีกว่า และการทรงตัวเวลาออกโค้งแรงๆ ทำได้นิ่งกว่า ทั้งนี้เป็นเพราะเครื่องยนต์ที่มีพละกำลังมากขึ้นกว่ารุ่นเดิม จากที่ระดับ 218 แรงม้า กลายมาเป็น 252 แรงม้า พร้อมระบบช่วงล่างที่เซตมาให้มีระดับต่ำลง 10 มิลลิเมตร และเบรกเป็นแบบ 4 พอท ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่ผลการขับจะดีกว่ารุ่นเครื่องยนต์ดีเซล
นอกจากนั้นเมื่อมองตัวเลขอื่นๆ ของ 530i จะพบว่ามี แรงบิด 350 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ในเวลา 6.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. ทุกอย่างเหนือกว่ารุ่น 520d อย่างไม่ต้องสงสัย แน่นอนว่าเมื่ออุปกรณ์และลูกเล่นเยอะกว่า จึงทำให้มีราคาแพงกว่า โดยรุ่น 530i M Sport ราคา 4.399 ล้านบาท ส่วน 520d ราคา 3.899 ล้านบาท
เหมาะกับใคร
บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 5 ใหม่ มากับลูกเล่นและอุปกรณ์ที่หลากหลายใช้งานได้อย่างล้นมือ สิ่งสำคัญสำหรับคนที่กำลังมองอยู่ แน่นอนว่าจุดขายคือ ความโดดเด่นของสมรรถนะตามแบบฉบับเหล่าบิมเมอร์ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ รวมถึงเทคโนโลยีด้านการใช้งานที่ให้มาล้ำหน้าคู่แข่งหนึ่งก้าวเสมอ ซีรี่ส์ 5 จึงเป็นทางเลือกของผู้บริหารรุ่นใหม่ที่ใจเรียกร้องให้ขับเอง
