ข่าวในประเทศ - เมอร์เซเดส-เบนซ์ เตรียมหยุดทำตลาดเครื่องยนต์ดีเซล เดินหน้าพัฒนาเครื่องยนต์ลูกผสมแบบปลั้กอินไฮบริดและไฟฟ้าล้วน ในชื่อแบรนด์ อีคิว (EQ) พร้อมสร้างความแตกต่าง ชูความเหนือกว่าทั้งนวัตกรรม,ความประหยัด และราคาที่สมเหตุผล ระบุ ยานยนต์ไฟฟ้ากำลังเกิด คาดยอดขายแชร์เพิ่มถึงระดับ40%ของทั้งแบรนด์
นาย ฟรังค์ ชไตน์อัคเคอร์ รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ ได้เปิดแบรนด์ใหม่คือ อีคิว (EQ- Elextric Intelligence by Mercedes-Benz) ซึ่งเป็นแบรนด์ย่อยของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งแบบไฟฟ้าล้วน EV และปลั้กอินไฮบริด PHEV
สำหรับแบรนด์อีคิว จะเป็นทุกอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์หรือเทคโนโลยี เช่น แท่นชาร์จไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์ให้ความสำคัญกับประเทศไทยเป็นลำดับต้นๆ จึงมีการเปิดตัวแบรนด์อีคิว พร้อมกับการเปิดตัวรถยนต์แบบปลั้กอินไฮบริดรุ่นใหม่ล่าสุด ในตระกูล อี-คลาส
“ผู้ใช้รถยนต์ของประเทศไทยให้การตอบรับเป็นอย่างดีกับรถยนต์ อีคิว ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งเรามีจำหน่ายอยู่แล้ว 9 รุ่นย่อย และเปิดตัวเพิ่มอีก 3 รุ่นในรุ่น อี 350 อี เพื่อเติมเต็มช่องว่างให้ครบถ้วนทุกระดับการขาย โดยปีที่แล้วรถแบบปลั้กอินไฮบริด มีสัดส่วนการขายถึง 30% ของยอดขายทั้งหมดของเมอร์เซเดส-เบนซ์” นาย ฟรังค์กล่าว
ซึ่งในปีนี้หลังการเปิดตัวรุ่น อี 350 อี ปลั้กอินไฮบริดเข้าสู่ตลาดคาดว่า จะทำให้สัดส่วนการขายของรถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นมาเป็นมากกว่า 40% ของยอดขายรวมทั้งแบรนด์ได้ ขณะที่การขยายจุดชาร์จไฟฟ้า ปัจจุบันมีมากกว่า 100 แท่นชาร์จ โดยจะกระจายไปตามโชว์รูมเมอร์เซเดส-เบนซ์ทุกแห่งทั่วประเทศ
“เมื่อรถยนต์แบบปลั้กอินไฮบริด ให้ทั้งความประหยัด เทคโนโลยีทันสมัย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมกับราคาที่สมเหตุสมผล สามารถซื้อหาเป็นเจ้าของได้ง่าย จากการสนับสนุนบางส่วนจากภาครัฐ ดังนั้นแนวโน้มในอนาคต คงจะต้องเป็นเรื่องของรถยนต์ไฟฟ้าแน่นอน ส่วนรถเครื่องยนต์ดีเซลก็จะยุติการทำตลาดไปตามอายุของรุ่นนั้นๆ” นายฟรังค์กล่าว
ทั้งนี้ สำหรับยอดขายในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2560 เมอร์เซเดส-เบนซ์ มียอดขายทั้งสิ้น 4,414 คัน เติบโตขึ้น 39% จากปีที่แล้ว โดยในเดือนเมษายน ขายได้ถึง 1,232 คัน เติบโต 75% นับเป็นสถิติใหม่ในการขายของเดือนเมษายนที่มักจากซบเซา โดยมีปัจจัยมาจาก การมีรถยนต์ที่ดี คุ้มค่า ราคาสมเหตุผลและการทำงานร่วมมือกับดีลเลอร์ในการช่วยให้ความรู้กับลูกค้า ประกอบกับการนำเสนอข่าวสารให้เข้าใจง่าย ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจและตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
นาย ฟรังค์ ชไตน์อัคเคอร์ รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ ได้เปิดแบรนด์ใหม่คือ อีคิว (EQ- Elextric Intelligence by Mercedes-Benz) ซึ่งเป็นแบรนด์ย่อยของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งแบบไฟฟ้าล้วน EV และปลั้กอินไฮบริด PHEV
สำหรับแบรนด์อีคิว จะเป็นทุกอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์หรือเทคโนโลยี เช่น แท่นชาร์จไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์ให้ความสำคัญกับประเทศไทยเป็นลำดับต้นๆ จึงมีการเปิดตัวแบรนด์อีคิว พร้อมกับการเปิดตัวรถยนต์แบบปลั้กอินไฮบริดรุ่นใหม่ล่าสุด ในตระกูล อี-คลาส
“ผู้ใช้รถยนต์ของประเทศไทยให้การตอบรับเป็นอย่างดีกับรถยนต์ อีคิว ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งเรามีจำหน่ายอยู่แล้ว 9 รุ่นย่อย และเปิดตัวเพิ่มอีก 3 รุ่นในรุ่น อี 350 อี เพื่อเติมเต็มช่องว่างให้ครบถ้วนทุกระดับการขาย โดยปีที่แล้วรถแบบปลั้กอินไฮบริด มีสัดส่วนการขายถึง 30% ของยอดขายทั้งหมดของเมอร์เซเดส-เบนซ์” นาย ฟรังค์กล่าว
ซึ่งในปีนี้หลังการเปิดตัวรุ่น อี 350 อี ปลั้กอินไฮบริดเข้าสู่ตลาดคาดว่า จะทำให้สัดส่วนการขายของรถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นมาเป็นมากกว่า 40% ของยอดขายรวมทั้งแบรนด์ได้ ขณะที่การขยายจุดชาร์จไฟฟ้า ปัจจุบันมีมากกว่า 100 แท่นชาร์จ โดยจะกระจายไปตามโชว์รูมเมอร์เซเดส-เบนซ์ทุกแห่งทั่วประเทศ
“เมื่อรถยนต์แบบปลั้กอินไฮบริด ให้ทั้งความประหยัด เทคโนโลยีทันสมัย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมกับราคาที่สมเหตุสมผล สามารถซื้อหาเป็นเจ้าของได้ง่าย จากการสนับสนุนบางส่วนจากภาครัฐ ดังนั้นแนวโน้มในอนาคต คงจะต้องเป็นเรื่องของรถยนต์ไฟฟ้าแน่นอน ส่วนรถเครื่องยนต์ดีเซลก็จะยุติการทำตลาดไปตามอายุของรุ่นนั้นๆ” นายฟรังค์กล่าว
ทั้งนี้ สำหรับยอดขายในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2560 เมอร์เซเดส-เบนซ์ มียอดขายทั้งสิ้น 4,414 คัน เติบโตขึ้น 39% จากปีที่แล้ว โดยในเดือนเมษายน ขายได้ถึง 1,232 คัน เติบโต 75% นับเป็นสถิติใหม่ในการขายของเดือนเมษายนที่มักจากซบเซา โดยมีปัจจัยมาจาก การมีรถยนต์ที่ดี คุ้มค่า ราคาสมเหตุผลและการทำงานร่วมมือกับดีลเลอร์ในการช่วยให้ความรู้กับลูกค้า ประกอบกับการนำเสนอข่าวสารให้เข้าใจง่าย ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจและตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น