บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ย้ำภาพความเป็นผู้นำด้านยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้า เปิดตัวรถยนต์รุ่นล่าสุด E 350 e ภายใต้แบรนด์ “EQ - Electric Intelligence by Mercedes-Benz” ที่มาเติมเต็มรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดในกลุ่ม Contemporary Luxury Sedan ให้ครบครัน โดยรถยนต์รุ่นนี้โดดเด่นด้วยสมรรถนะยอดเยี่ยม เทคโนโลยีล้ำสมัย ระบบความปลอดภัยชั้นเลิศ พร้อมอัตราการปล่อย CO2 ที่ต่ำเพียง 49-57 กรัม/กิโลเมตร โดยมากับ 3 ทางเลือก ได้แก่ E 350 e Avantgarde ราคา 3,490,000 บาท E 350 e Exclusive ราคา 3,790,000 บาท และ E 350 e AMG Dynamic ราคา 4,090,000 บาท
นายไมเคิล เกรเว่ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เมอร์เซเดส-เบนซ์ มีความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์ยนตรกรรมล้ำสมัยที่สามารถตอบสนองทุกความต้องการและทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมสานต่อเจตนารมณ์ในการมอบ “สิ่งที่ดีที่สุด ” ให้กับลูกค้า
รวมถึงความมุ่งมั่นที่จะเติมเต็มทุกแนวคิดเกี่ยวกับการเดินทางแห่งอนาคต และการใช้ชีวิตอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างครบวงจร ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้วางรากฐานไว้เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินงานไปจนถึงปี 2025 โดยครั้งนี้นำเสนอรถยนต์รุ่นล่าสุด E 350 e ภายใต้แบรนด์ EQ - Electric Intelligence by Mercedes-Benz
“ E 350 e คือยนตรกรรมเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดที่มาเติมเต็มพอร์ทโฟลิโอของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในกลุ่ม Contemporary Luxury Sedan ให้สมบูรณ์ หลังจากเปิดตัว S 500 e และ C 350 e ให้คนไทยได้สัมผัสเมื่อต้นปี 2559 ที่ผ่านมา” นายไมเคิลกล่าว
E 350 e ปลั๊กอินไฮบริด นั้นมีให้เลือก 3 รุ่นย่อยด้วยกัน คือ Avantgarde, Exclusive และ AMG Dynamic ซึ่งดีไซน์ภายนอก ยังคงมาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่ดูสง่างามมีระดับตามแบบฉบับของรถยนต์ตระกูลอี-คลาส
สำหรับรุ่น E 350 e Exclusive และ E 350 e AMG Dynamic มาพร้อมกับไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED, ระบบส่องสว่างอัจฉริยะ (ILS ), ระบบปรับโคมไฟหน้ารถตามการเลี้ยวของพวงมาลัย (ALS) และระบบเพิ่มความส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง (cornering light)
โดย E 350 e AMG Dynamic จะเพิ่มเติมความพิเศษด้วยล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ 5 ก้านคู่ ขนาด 19 นิ้ว, หลังคาพาโนรามิคซันรูฟเลื่อนเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า, กันชนหน้า-หลัง และสเกิร์ตข้างดีไซน์สปอร์ตแบบ AMG, ดิสก์เบรกหน้าแบบมีช่องระบายความร้อน และสัญลักษณ์ Mercedes-Benz บนคาลิปเปอร์เบรกหน้า
ซึ่งล่าสุดเทคโนโลยี MULTIBEAM LED ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ เลือกใช้กับรถยนต์ในตระกูลอี-คลาส นั้น ได้รับรางวัล “Red Dot Award” ถือเป็นเครื่องรับรองว่าออกแบบอย่างประณีตบรรจงและ มีนวัตกรรมอันล้ำสมัย โดยโคมไฟหน้าแต่ละโคมจะประกอบด้วยหลอดไฟแอลอีดีประสิทธิภาพสูงจำนวน 84 หลอดทำงานอิสระ โดยเรียงตัวเหมือนคิ้วมนุษย์ ชุดไฟหน้าสามารถส่องพื้นถนนข้างหน้ารถได้โดยอัตโนมัติ อีกทั้งยังมีระดับความเข้มของแสงที่สว่างและเหมาะสม ไม่รบกวนสายตาของผู้สัญจรท่านอื่นๆ
ดีไซน์ภายใน ห้องโดยสารของ E-Class ดูกว้างขวางและลงตัวจนคว้ารางวัลจากงาน “Automotive Interiors Expo Awards” ประจำปี 2016 ในด้าน “ห้องโดยสารยอดเยี่ยมสำหรับรถยนต์ที่ผลิตเพื่อการจัดจำหน่ายจริง และ “นวัตกรรมยอดเยี่ยมแห่งปี” จากผลงานการออกแบบแผงควบคุมระบบสัมผัสบนคอพวงมาลัยในรถยนต์
สำหรับเบาะที่นั่งตอนหลังสามารถพับลงแบบ 1/3 และ 2/3 เพื่อความสะดวกในการบรรจุสัมภาระ ซึ่งรุ่น Avantgarde และExclusive มาพร้อมกับเบาะนั่งหุ้มหนัง ARTICO พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนัง nappa จอแสดงผลข้อมูลแบบ widescreen cockpit ขณะที่รุ่น AMG Dynamic จะมาพร้อมกับเบาะนั่งหุ้มหนัง nappa, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นแบบสปอร์ตท้ายตัดหุ้มหนัง nappa, ระบบเสียง Burmester®และระบบแสดงผลข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า (Head-up Display)
นอกจากนี้ ทั้ง 3 รุ่นยังมาพร้อมกับ ระบบ COMAND Online พร้อม Controller, ระบบควบคุมและสั่งงานด้วย Touchpad, ระบบสั่งการด้วยเสียง เฉพาะภาษาอังกฤษ, ฟังก์ชั่นเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการ iOS (Apple CarPlay™) และ Android (Android Auto) รวมถึงการติดตั้งระบบแผนที่นำทางและไฟในห้องโดยสารปรับได้ 64 สี
ด้านความปลอดภัยและเทคโนโลยี ของ E 350 e มาพร้อมกับระบบ “Mercedes-Benz Intelligent Drive” เพื่อให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้รับความปลอดภัยสูงสุด ด้วยระบบการช่วยเหลือและระบบความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ เช่นระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ และระบบชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย
สำหรับรุ่น Avantgarde จะมาพร้อมกับกล้องแสดงภาพด้านหลังขณะถอยรถ ส่วนรุ่น Exclusive และAMG Dynamic จะมาพร้อมกับกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง ระบบช่วยรักษาระยะห่างจากรถที่อยู่ด้านหน้า และระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา ที่ติดตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในรถยนต์รุ่นนี้อีกด้วย
E 350 e ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียง ความจุกระบอกสูบ 1,991 ซีซี กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 350 นิวตันเมตร ที่รอบ 1,200-4,000 ต่อนาที และกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ 88 แรงม้า แรงบิดสูงสุดจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ 440 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. อยู่ที่ 6.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. ขับเคลื่อนด้วยระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 9 จังหวะ (9G-TRONIC PLUS) พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย
รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์รุ่น E 350 e ผ่านการตรวจสอบผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมโดยสำนักงาน TÜV (สำนักงานตรวจสอบมาตรฐานทางเทคนิคแห่งประเทศเยอรมนี - the German Technical Inspection Authority) และได้รับใบรับรองด้านผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งใบรับรองดังกล่าวให้การรับรองรถยนต์รุ่น E 350 e ว่าผ่านการประเมินระดับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตลอดอายุของผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment)
ซึ่งในกระบวนการตรวจสอบแบบองค์รวมที่เมอร์เซเดส-เบนซ์นำรถยนต์ไปตรวจสอบ ผู้เชี่ยวชาญไม่ได้วัดอัตราการใช้พลังงานหรืออัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขณะขับขี่เท่านั้น แต่ยังวัดอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตั้งแต่กระบวนการผลิตไปจนถึงกระบวนการนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่
ผลการวิเคราะห์เปิดเผยว่ารถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์รุ่น E 350 e ที่ใช้เครื่องยนต์แบบไฮบริดและได้รับการประจุพลังงานไฟฟ้าตามมาตรฐานของทวีปยุโรปนั้นมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตลอดช่วงอายุของผลิตภัณฑ์ ต่ำกว่ารถยนต์รุ่น E 350 CGI ที่มีสมรรถนะใกล้เคียงกันและใช้เครื่องยนต์แบบเชื้อเพลิงฟอสซิลถึง 44% และหากใช้แต่พลังงานไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนแล้ว ค่าความแตกต่างดังกล่าวจะสูงถึง 63%
นอกจากนี้ รถยนต์รุ่นนี้ ยังมีอัตราการใช้พลังงานจากแหล่งพลังงานน้ำมัน ต่ำกว่ารถยนต์รุ่น E 350 CGI ที่ 31%-48% ตลอดอายุของผลิตภัณฑ์อีกด้วย โดยมีอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยถึง 40 - 47.62 กิโลเมตร/ลิตร พร้อมด้วยการปล่อย CO2 เพียง 49-57 กรัม/กิโลเมตร รวมถึงขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า หรือ EV เพียงอย่างเดียวได้ไกลถึง 33 กิโลเมตร ซึ่งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบที่เมอร์เซเดส-เบนซ์เลือกใช้จะทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า และให้กำลังรวมกัน 286 แรงม้า และมีแรงบิดสูงถึง 550 นิวตันเมตร การผสมผสานเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้านี้ช่วยให้รถยนต์รุ่น E 350 e เป็นรถยนต์ที่มีสมรรถนะการขับขี่เทียบเท่ารถสปอร์ตแต่มีอัตราการใช้พลังงานต่ำกว่ารถยนต์คอมแพกต์
สนนราคาของ E 350 e Avantgarde ราคา 3,490,000 บาท รุ่น E 350 e Exclusive ราคา 3,790,000 บาท รุ่น E 350 e AMG Dynamic ราคา 4,090,000 บาท
นายไมเคิล เกรเว่ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เมอร์เซเดส-เบนซ์ มีความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์ยนตรกรรมล้ำสมัยที่สามารถตอบสนองทุกความต้องการและทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมสานต่อเจตนารมณ์ในการมอบ “สิ่งที่ดีที่สุด ” ให้กับลูกค้า
รวมถึงความมุ่งมั่นที่จะเติมเต็มทุกแนวคิดเกี่ยวกับการเดินทางแห่งอนาคต และการใช้ชีวิตอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างครบวงจร ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้วางรากฐานไว้เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินงานไปจนถึงปี 2025 โดยครั้งนี้นำเสนอรถยนต์รุ่นล่าสุด E 350 e ภายใต้แบรนด์ EQ - Electric Intelligence by Mercedes-Benz
“ E 350 e คือยนตรกรรมเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดที่มาเติมเต็มพอร์ทโฟลิโอของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในกลุ่ม Contemporary Luxury Sedan ให้สมบูรณ์ หลังจากเปิดตัว S 500 e และ C 350 e ให้คนไทยได้สัมผัสเมื่อต้นปี 2559 ที่ผ่านมา” นายไมเคิลกล่าว
E 350 e ปลั๊กอินไฮบริด นั้นมีให้เลือก 3 รุ่นย่อยด้วยกัน คือ Avantgarde, Exclusive และ AMG Dynamic ซึ่งดีไซน์ภายนอก ยังคงมาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่ดูสง่างามมีระดับตามแบบฉบับของรถยนต์ตระกูลอี-คลาส
สำหรับรุ่น E 350 e Exclusive และ E 350 e AMG Dynamic มาพร้อมกับไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED, ระบบส่องสว่างอัจฉริยะ (ILS ), ระบบปรับโคมไฟหน้ารถตามการเลี้ยวของพวงมาลัย (ALS) และระบบเพิ่มความส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง (cornering light)
โดย E 350 e AMG Dynamic จะเพิ่มเติมความพิเศษด้วยล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ 5 ก้านคู่ ขนาด 19 นิ้ว, หลังคาพาโนรามิคซันรูฟเลื่อนเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า, กันชนหน้า-หลัง และสเกิร์ตข้างดีไซน์สปอร์ตแบบ AMG, ดิสก์เบรกหน้าแบบมีช่องระบายความร้อน และสัญลักษณ์ Mercedes-Benz บนคาลิปเปอร์เบรกหน้า
ซึ่งล่าสุดเทคโนโลยี MULTIBEAM LED ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ เลือกใช้กับรถยนต์ในตระกูลอี-คลาส นั้น ได้รับรางวัล “Red Dot Award” ถือเป็นเครื่องรับรองว่าออกแบบอย่างประณีตบรรจงและ มีนวัตกรรมอันล้ำสมัย โดยโคมไฟหน้าแต่ละโคมจะประกอบด้วยหลอดไฟแอลอีดีประสิทธิภาพสูงจำนวน 84 หลอดทำงานอิสระ โดยเรียงตัวเหมือนคิ้วมนุษย์ ชุดไฟหน้าสามารถส่องพื้นถนนข้างหน้ารถได้โดยอัตโนมัติ อีกทั้งยังมีระดับความเข้มของแสงที่สว่างและเหมาะสม ไม่รบกวนสายตาของผู้สัญจรท่านอื่นๆ
ดีไซน์ภายใน ห้องโดยสารของ E-Class ดูกว้างขวางและลงตัวจนคว้ารางวัลจากงาน “Automotive Interiors Expo Awards” ประจำปี 2016 ในด้าน “ห้องโดยสารยอดเยี่ยมสำหรับรถยนต์ที่ผลิตเพื่อการจัดจำหน่ายจริง และ “นวัตกรรมยอดเยี่ยมแห่งปี” จากผลงานการออกแบบแผงควบคุมระบบสัมผัสบนคอพวงมาลัยในรถยนต์
สำหรับเบาะที่นั่งตอนหลังสามารถพับลงแบบ 1/3 และ 2/3 เพื่อความสะดวกในการบรรจุสัมภาระ ซึ่งรุ่น Avantgarde และExclusive มาพร้อมกับเบาะนั่งหุ้มหนัง ARTICO พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนัง nappa จอแสดงผลข้อมูลแบบ widescreen cockpit ขณะที่รุ่น AMG Dynamic จะมาพร้อมกับเบาะนั่งหุ้มหนัง nappa, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นแบบสปอร์ตท้ายตัดหุ้มหนัง nappa, ระบบเสียง Burmester®และระบบแสดงผลข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า (Head-up Display)
นอกจากนี้ ทั้ง 3 รุ่นยังมาพร้อมกับ ระบบ COMAND Online พร้อม Controller, ระบบควบคุมและสั่งงานด้วย Touchpad, ระบบสั่งการด้วยเสียง เฉพาะภาษาอังกฤษ, ฟังก์ชั่นเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการ iOS (Apple CarPlay™) และ Android (Android Auto) รวมถึงการติดตั้งระบบแผนที่นำทางและไฟในห้องโดยสารปรับได้ 64 สี
ด้านความปลอดภัยและเทคโนโลยี ของ E 350 e มาพร้อมกับระบบ “Mercedes-Benz Intelligent Drive” เพื่อให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้รับความปลอดภัยสูงสุด ด้วยระบบการช่วยเหลือและระบบความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ เช่นระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ และระบบชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย
สำหรับรุ่น Avantgarde จะมาพร้อมกับกล้องแสดงภาพด้านหลังขณะถอยรถ ส่วนรุ่น Exclusive และAMG Dynamic จะมาพร้อมกับกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง ระบบช่วยรักษาระยะห่างจากรถที่อยู่ด้านหน้า และระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา ที่ติดตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในรถยนต์รุ่นนี้อีกด้วย
E 350 e ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียง ความจุกระบอกสูบ 1,991 ซีซี กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 350 นิวตันเมตร ที่รอบ 1,200-4,000 ต่อนาที และกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ 88 แรงม้า แรงบิดสูงสุดจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ 440 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. อยู่ที่ 6.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. ขับเคลื่อนด้วยระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 9 จังหวะ (9G-TRONIC PLUS) พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย
รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์รุ่น E 350 e ผ่านการตรวจสอบผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมโดยสำนักงาน TÜV (สำนักงานตรวจสอบมาตรฐานทางเทคนิคแห่งประเทศเยอรมนี - the German Technical Inspection Authority) และได้รับใบรับรองด้านผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งใบรับรองดังกล่าวให้การรับรองรถยนต์รุ่น E 350 e ว่าผ่านการประเมินระดับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตลอดอายุของผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment)
ซึ่งในกระบวนการตรวจสอบแบบองค์รวมที่เมอร์เซเดส-เบนซ์นำรถยนต์ไปตรวจสอบ ผู้เชี่ยวชาญไม่ได้วัดอัตราการใช้พลังงานหรืออัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขณะขับขี่เท่านั้น แต่ยังวัดอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตั้งแต่กระบวนการผลิตไปจนถึงกระบวนการนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่
ผลการวิเคราะห์เปิดเผยว่ารถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์รุ่น E 350 e ที่ใช้เครื่องยนต์แบบไฮบริดและได้รับการประจุพลังงานไฟฟ้าตามมาตรฐานของทวีปยุโรปนั้นมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตลอดช่วงอายุของผลิตภัณฑ์ ต่ำกว่ารถยนต์รุ่น E 350 CGI ที่มีสมรรถนะใกล้เคียงกันและใช้เครื่องยนต์แบบเชื้อเพลิงฟอสซิลถึง 44% และหากใช้แต่พลังงานไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนแล้ว ค่าความแตกต่างดังกล่าวจะสูงถึง 63%
นอกจากนี้ รถยนต์รุ่นนี้ ยังมีอัตราการใช้พลังงานจากแหล่งพลังงานน้ำมัน ต่ำกว่ารถยนต์รุ่น E 350 CGI ที่ 31%-48% ตลอดอายุของผลิตภัณฑ์อีกด้วย โดยมีอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยถึง 40 - 47.62 กิโลเมตร/ลิตร พร้อมด้วยการปล่อย CO2 เพียง 49-57 กรัม/กิโลเมตร รวมถึงขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า หรือ EV เพียงอย่างเดียวได้ไกลถึง 33 กิโลเมตร ซึ่งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบที่เมอร์เซเดส-เบนซ์เลือกใช้จะทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า และให้กำลังรวมกัน 286 แรงม้า และมีแรงบิดสูงถึง 550 นิวตันเมตร การผสมผสานเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้านี้ช่วยให้รถยนต์รุ่น E 350 e เป็นรถยนต์ที่มีสมรรถนะการขับขี่เทียบเท่ารถสปอร์ตแต่มีอัตราการใช้พลังงานต่ำกว่ารถยนต์คอมแพกต์
สนนราคาของ E 350 e Avantgarde ราคา 3,490,000 บาท รุ่น E 350 e Exclusive ราคา 3,790,000 บาท รุ่น E 350 e AMG Dynamic ราคา 4,090,000 บาท