ในการมาเยือนอาณาจักรของ SAIC MOTOR ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่อันดับ 1 ของจีนครั้งนี้นอกจากการที่เราได้ไปเยี่ยมชมโรงงานประกอบรถยนต์และศูนย์วิจัยแล้ว เรายังได้รับโอกาสให้ทดลองขับรถยนต์รุ่นใหม่ ในสนามทดสอบจริงที่ทาง SAIC สร้างขึ้นเพื่อทำการทดสอบรถยนต์รุ่นต่างก่อนปล่อยสู่ตลาด
ซึ่งสนามทดสอบแห่งนี้มีชื่อว่า “กว่างเต๋อ” (Guangde Proving Ground) มีขนาดพื้นที่ 5.67 ตารางกิโลเมตร มีความยาวของถนนทั้งหมดรวมกันกว่า 60 กิโลเมตรและมีรูปแบบของถนนที่จำลองคลอบคลุมพื้นผิวมากกว่า 70 ชนิด และมีสถานีจำลองการทดสอบหลัก 8 รูปแบบ เช่น เนินเขา,วงเวียนรูปไข่,ทางตรงยาว,ความทนทาน และการควบคุมการขับขี่เป็นต้น โดยสร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อปี 2012
สำหรับการทดลองขับจะมีรถประจำจุดทดสอบซึ่งเราจะได้ทดลองขับคันละ 1-2 รอบ ส่วนการนั่งคันละกี่รอบก็ได้ตามแต่สะดวก ดังนั้นเพื่อความกระชับของบทความเราจึงขอจำแนกการขับไล่เลียงไปตามรุ่นที่น่าสนใจ ดังต่อไปนี้
เอ็มจี แซสเอส
พระเอกของการเดินทางมาในครั้งนี้ของเราเลยก็ว่าได้ เพราะนี่คือ โมเดลใหม่ล่าสุดที่เพิ่งจะเปิดตัวจำหน่ายอย่างเป็นทางการในจีนเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ขณะที่ เอ็มจี ประเทศไทย ก็เตรียมการเปิดตัวทำตลาดในเมืองไทยไม่เกินปลายปีนี้ โดยจะเป็นการทำตลาดในรุ่นเครื่องยนต์ 1.0 ลิตร เทอร์โบ ดังข่าวที่เราเคยนำเสนอไปแล้ว
สำหรับการขับ เอ็มจี แซสเอส ตัวนี้ เป็นรุ่น 1.0 เทอร์โบ ประจำการอยู่ในสถานี หยินหยาง คือการขับเป็นวงกลมขนาดใหญ่และมีการเลี้ยวโค้งตัดกลาง ซึ่งการทดลองขับ แซดเอส 2 รอบ ให้ความรู้สึกที่ประทับใจเราและเพื่อนร่วมทริปอย่างมาก ด้วยการควบคุมการทรงตัวที่ดีเยี่ยม การ เข้าโค้งด้วยความเร็วสูงเกาะโค้งดีมาก ตัวรถค่อนข้างนิ่ง ยิ่งเมื่อขับเปรียบเทียบกับรถยนต์รุ่นอื่นที่นำมาให้ลองแล้ว แซดเอสทำผลงานได้ดีและประทับใจเราที่สุด
แน่นอนว่าคงมีคำถามตามมาว่า แซดเอสที่จะขายในเมืองไทยนั้นราคาเท่าไหร่ เราคงแย้มบอกได้เพียงแค่ว่าอยู่ที่ตัวเลขประมาณ 7-8 แสนบาท คู่แข่งโดยตรงกับ มาสด้า 3 และ ฮอนด้า เอชอาร์-วี
เอ็มจี จีเอส
สำหรับรุ่นนี้คงไม่ต้องบรรยายมากเพราะเราได้นำเสนอบททดสอบมาหลายครั้งหลายคราแล้ว ซึ่งจุดที่ให้เราได้ทดลองขับจีเอสนั้นเป็น สถานีรูปปีกผีเสื้อ ที่จะแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของการเบรกและการเข้าโค้งแบบสลาลม ซึ่งจีเอสทำได้ดีเท่าที่รถแบบเอสยูวีขนาดนี้จะทำได้
นอกจากนั้น เรายังได้ลองขับจีเอส บนพื้นผิวที่จำลองการลื่นไถล ด้วยความเร็วการขับที่ 40 กม./ชม. รถยังคงทรงตัวดีและควบคุมได้ แต่หากขับเร็วกว่านั้น จะออกอาการสไลด์ทันที และเมื่อมีการเบรก ก็ยังสามารถควบคุมทิศทางรถได้ แม้ตัวรถจะยังคงลื่นไถลไปจนสุดทางก็ตาม แสดงให้เห็นถึงการทดสอบเทคโนโลยีต่างๆที่ใส่มาในรถว่าทำงานเป็นอย่างไรบ้าง
เอ็มจี จีเอส ออโตโนมัส
คันนี้ ไม่มีใครขับ เราเป็นคนนั่งอย่างเดียว เพราะเป็นรถยนต์อัตโนมัติ ไร้คนขับ แค่เพียงสตาร์ทเครื่องและกดปุ่นเริ่มต้นการทำงาน รถจะวิ่งไปข้างหน้า ด้วยความเร็วตามที่กำหนดไว้ รวมถึงการเข้าโค้ง และเบรกอัตโนมัติ เมื่อมีรถขวางอยู่ทางด้านหน้า ก็สามารถทำได้อย่างครบถ้วน ปลอดภัย อีกทั้งยังเบรกในโค้งได้อีกด้วย
ถามทีมวิศวกรผู้พัฒนา เขาตอบเราว่า เป็นการใช้งานเรดาห์ ผสานกับระบบเซ็นเซอร์รอบคัน ที่อิงตามเส้นแบ่งช่องจราจรบนพื้นถนน โดยสามารถวิ่งแบบไร้คนขับ ได้ด้วยความเร็วที่สูงถึง 110 กม./ชม.
แม็กซัส ที60
รถปิกอัพตัวขายของทาง แม็กซัส ที่จ่อคิวว่าจะเข้ามาทำตลาดในบ้านเรา เราได้ขับในสถานีปีกผีเสื้อ ความรู้สึกคือ รถใหญ่มาก พวงมาลัยเบาควบคุมง่าย ช่วงล่างค่อนข้างนุ่มยวบไปสักหน่อย ส่วนการตอบสนองของเครื่องยนต์ยังไม่ประทับใจเรานัก เมื่อเทียบกับปิกอัพหลายๆ แบรนด์ที่จำหน่ายอยู่ในบ้านเรา ยังคงต้องมีการบ้านให้ แม็กซัส ทำงานอย่างหนักอีกสเตป หากหวังจะแจ้งเกิดรถปิกอัพในบ้านเราให้สำเร็จ
แม็กซัส จี10
หรือที่จะนำเข้ามาขายในเมืองไทยภายใต้แบรนด์ เอ็มจี ในชื่อรุ่น จีวี โดยคันนี้ เราได้ขับในสถานี จำลองรูปแบบถนนที่หลากหลาย ทั้ง เรียบ, ขรุขระผุพัง, เป็นลูกระนาด และหลุมบ่อ เราได้มีโอกาสขับเป็นคนแรก บอกได้เลยว่า ทัศนวิสัยดีมาก เบาะนั่งสบาย พวงมาลับควบคุมง่ายไม่ต่างจากรถยนต์นั่งแบบเก๋ง
การตอบสนองของเครื่องยนต์และคันเร่ง ทำได้สมกับขนาดของตัวรถ ไม่แรงหรือว่า อืดจนเกินไป ความเร็วขึ้นแบบนิ่งๆ ช้าๆ ไม่กระโชกโฮกฮาก แม้จะกดคันเร่งแรงๆ ก็ตาม ความเร็วสูงที่กำหนดในสถานีนี้คือ 120 กม./ชม. และเราก็ได้ขับถึง ณ ความเร็วดังกล่าว ตัวรถทรงตัวดี เมื่อขับผ่านช่วงถนนชำรุด จีวี ดูดซับแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี
เมื่อจบรอบ เราได้มาทดลองนั่งเป็นผู้โดยสารทั้งแถวกลางและแถวหลัง ความรู้สึกแถวกลางนั่งสบายกว่า เพราะด้วยขนาดเก้าอี้ แต่แถวหลังก็นั่งได้ไม่เวียนหัวแต่อย่างใด รวมๆ แล้วถือว่าสอบผ่าน หากการจะทำตลาดในเมืองไทย ด้วยราคาค่าตัวที่ 1 ล้านบาทบวกลบ แล้วละก็เชื่อขนมกินได้ว่า เราจะได้เห็น จีวี วิ่งเกลื่อนอย่างแน่นอน
โรวี่ อาร์เอ็กซ์5
คันสุดท้ายของการทดลองขับคือ โรวี อาร์เอ็กซ์5 หลายคนอาจจะไม่คุ้นเคยกับชื่อ แต่นี่คือหนึ่งในรถที่ขายดีที่สุดรุ่นนึงในประเทศจีนของ SAIC ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ดุปราดเปรียวโดดเด่นสะดุดตา เมื่อได้ทดลองขับ สมรรถนะก็ไม่ได้ทำให้เราผิดหวัง แม้ว่าคันที่เราขับจะเป็นรุ่นปลั๊กอินไฮบริด ที่ขายในชื่อ อีอาร์เอ็กซ์5
โดยอาร์เอ็กซ์ 5 รุ่นนี้ ทางเอ็มจี เซลล์ ประเทศไทยได้ร้องขอไปเพื่อนำมาทำตลาดในเมืองไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ยังรออยู่ว่า จะอนุมัติเมื่อไร เท่านั้นเอง
ทั้งหมดนี้คือ รถยนต์ ที่เป็นไฮไลท์ของการได้มาขับและลองของจริงกันในสนามทดสอบรถจริงๆ ที่มีรถต้นแบบหลายหลากรุ่นวิ่งทดสอบให้เราเห็นตลอดเวลา แต่ไม่สามารถเก็บภาพหรือบอกเล่าสู่กันฟังได้
ซึ่งสนามทดสอบแห่งนี้มีชื่อว่า “กว่างเต๋อ” (Guangde Proving Ground) มีขนาดพื้นที่ 5.67 ตารางกิโลเมตร มีความยาวของถนนทั้งหมดรวมกันกว่า 60 กิโลเมตรและมีรูปแบบของถนนที่จำลองคลอบคลุมพื้นผิวมากกว่า 70 ชนิด และมีสถานีจำลองการทดสอบหลัก 8 รูปแบบ เช่น เนินเขา,วงเวียนรูปไข่,ทางตรงยาว,ความทนทาน และการควบคุมการขับขี่เป็นต้น โดยสร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อปี 2012
สำหรับการทดลองขับจะมีรถประจำจุดทดสอบซึ่งเราจะได้ทดลองขับคันละ 1-2 รอบ ส่วนการนั่งคันละกี่รอบก็ได้ตามแต่สะดวก ดังนั้นเพื่อความกระชับของบทความเราจึงขอจำแนกการขับไล่เลียงไปตามรุ่นที่น่าสนใจ ดังต่อไปนี้
เอ็มจี แซสเอส
พระเอกของการเดินทางมาในครั้งนี้ของเราเลยก็ว่าได้ เพราะนี่คือ โมเดลใหม่ล่าสุดที่เพิ่งจะเปิดตัวจำหน่ายอย่างเป็นทางการในจีนเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ขณะที่ เอ็มจี ประเทศไทย ก็เตรียมการเปิดตัวทำตลาดในเมืองไทยไม่เกินปลายปีนี้ โดยจะเป็นการทำตลาดในรุ่นเครื่องยนต์ 1.0 ลิตร เทอร์โบ ดังข่าวที่เราเคยนำเสนอไปแล้ว
สำหรับการขับ เอ็มจี แซสเอส ตัวนี้ เป็นรุ่น 1.0 เทอร์โบ ประจำการอยู่ในสถานี หยินหยาง คือการขับเป็นวงกลมขนาดใหญ่และมีการเลี้ยวโค้งตัดกลาง ซึ่งการทดลองขับ แซดเอส 2 รอบ ให้ความรู้สึกที่ประทับใจเราและเพื่อนร่วมทริปอย่างมาก ด้วยการควบคุมการทรงตัวที่ดีเยี่ยม การ เข้าโค้งด้วยความเร็วสูงเกาะโค้งดีมาก ตัวรถค่อนข้างนิ่ง ยิ่งเมื่อขับเปรียบเทียบกับรถยนต์รุ่นอื่นที่นำมาให้ลองแล้ว แซดเอสทำผลงานได้ดีและประทับใจเราที่สุด
แน่นอนว่าคงมีคำถามตามมาว่า แซดเอสที่จะขายในเมืองไทยนั้นราคาเท่าไหร่ เราคงแย้มบอกได้เพียงแค่ว่าอยู่ที่ตัวเลขประมาณ 7-8 แสนบาท คู่แข่งโดยตรงกับ มาสด้า 3 และ ฮอนด้า เอชอาร์-วี
เอ็มจี จีเอส
สำหรับรุ่นนี้คงไม่ต้องบรรยายมากเพราะเราได้นำเสนอบททดสอบมาหลายครั้งหลายคราแล้ว ซึ่งจุดที่ให้เราได้ทดลองขับจีเอสนั้นเป็น สถานีรูปปีกผีเสื้อ ที่จะแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของการเบรกและการเข้าโค้งแบบสลาลม ซึ่งจีเอสทำได้ดีเท่าที่รถแบบเอสยูวีขนาดนี้จะทำได้
นอกจากนั้น เรายังได้ลองขับจีเอส บนพื้นผิวที่จำลองการลื่นไถล ด้วยความเร็วการขับที่ 40 กม./ชม. รถยังคงทรงตัวดีและควบคุมได้ แต่หากขับเร็วกว่านั้น จะออกอาการสไลด์ทันที และเมื่อมีการเบรก ก็ยังสามารถควบคุมทิศทางรถได้ แม้ตัวรถจะยังคงลื่นไถลไปจนสุดทางก็ตาม แสดงให้เห็นถึงการทดสอบเทคโนโลยีต่างๆที่ใส่มาในรถว่าทำงานเป็นอย่างไรบ้าง
เอ็มจี จีเอส ออโตโนมัส
คันนี้ ไม่มีใครขับ เราเป็นคนนั่งอย่างเดียว เพราะเป็นรถยนต์อัตโนมัติ ไร้คนขับ แค่เพียงสตาร์ทเครื่องและกดปุ่นเริ่มต้นการทำงาน รถจะวิ่งไปข้างหน้า ด้วยความเร็วตามที่กำหนดไว้ รวมถึงการเข้าโค้ง และเบรกอัตโนมัติ เมื่อมีรถขวางอยู่ทางด้านหน้า ก็สามารถทำได้อย่างครบถ้วน ปลอดภัย อีกทั้งยังเบรกในโค้งได้อีกด้วย
ถามทีมวิศวกรผู้พัฒนา เขาตอบเราว่า เป็นการใช้งานเรดาห์ ผสานกับระบบเซ็นเซอร์รอบคัน ที่อิงตามเส้นแบ่งช่องจราจรบนพื้นถนน โดยสามารถวิ่งแบบไร้คนขับ ได้ด้วยความเร็วที่สูงถึง 110 กม./ชม.
แม็กซัส ที60
รถปิกอัพตัวขายของทาง แม็กซัส ที่จ่อคิวว่าจะเข้ามาทำตลาดในบ้านเรา เราได้ขับในสถานีปีกผีเสื้อ ความรู้สึกคือ รถใหญ่มาก พวงมาลัยเบาควบคุมง่าย ช่วงล่างค่อนข้างนุ่มยวบไปสักหน่อย ส่วนการตอบสนองของเครื่องยนต์ยังไม่ประทับใจเรานัก เมื่อเทียบกับปิกอัพหลายๆ แบรนด์ที่จำหน่ายอยู่ในบ้านเรา ยังคงต้องมีการบ้านให้ แม็กซัส ทำงานอย่างหนักอีกสเตป หากหวังจะแจ้งเกิดรถปิกอัพในบ้านเราให้สำเร็จ
แม็กซัส จี10
หรือที่จะนำเข้ามาขายในเมืองไทยภายใต้แบรนด์ เอ็มจี ในชื่อรุ่น จีวี โดยคันนี้ เราได้ขับในสถานี จำลองรูปแบบถนนที่หลากหลาย ทั้ง เรียบ, ขรุขระผุพัง, เป็นลูกระนาด และหลุมบ่อ เราได้มีโอกาสขับเป็นคนแรก บอกได้เลยว่า ทัศนวิสัยดีมาก เบาะนั่งสบาย พวงมาลับควบคุมง่ายไม่ต่างจากรถยนต์นั่งแบบเก๋ง
การตอบสนองของเครื่องยนต์และคันเร่ง ทำได้สมกับขนาดของตัวรถ ไม่แรงหรือว่า อืดจนเกินไป ความเร็วขึ้นแบบนิ่งๆ ช้าๆ ไม่กระโชกโฮกฮาก แม้จะกดคันเร่งแรงๆ ก็ตาม ความเร็วสูงที่กำหนดในสถานีนี้คือ 120 กม./ชม. และเราก็ได้ขับถึง ณ ความเร็วดังกล่าว ตัวรถทรงตัวดี เมื่อขับผ่านช่วงถนนชำรุด จีวี ดูดซับแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี
เมื่อจบรอบ เราได้มาทดลองนั่งเป็นผู้โดยสารทั้งแถวกลางและแถวหลัง ความรู้สึกแถวกลางนั่งสบายกว่า เพราะด้วยขนาดเก้าอี้ แต่แถวหลังก็นั่งได้ไม่เวียนหัวแต่อย่างใด รวมๆ แล้วถือว่าสอบผ่าน หากการจะทำตลาดในเมืองไทย ด้วยราคาค่าตัวที่ 1 ล้านบาทบวกลบ แล้วละก็เชื่อขนมกินได้ว่า เราจะได้เห็น จีวี วิ่งเกลื่อนอย่างแน่นอน
โรวี่ อาร์เอ็กซ์5
คันสุดท้ายของการทดลองขับคือ โรวี อาร์เอ็กซ์5 หลายคนอาจจะไม่คุ้นเคยกับชื่อ แต่นี่คือหนึ่งในรถที่ขายดีที่สุดรุ่นนึงในประเทศจีนของ SAIC ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ดุปราดเปรียวโดดเด่นสะดุดตา เมื่อได้ทดลองขับ สมรรถนะก็ไม่ได้ทำให้เราผิดหวัง แม้ว่าคันที่เราขับจะเป็นรุ่นปลั๊กอินไฮบริด ที่ขายในชื่อ อีอาร์เอ็กซ์5
โดยอาร์เอ็กซ์ 5 รุ่นนี้ ทางเอ็มจี เซลล์ ประเทศไทยได้ร้องขอไปเพื่อนำมาทำตลาดในเมืองไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ยังรออยู่ว่า จะอนุมัติเมื่อไร เท่านั้นเอง
ทั้งหมดนี้คือ รถยนต์ ที่เป็นไฮไลท์ของการได้มาขับและลองของจริงกันในสนามทดสอบรถจริงๆ ที่มีรถต้นแบบหลายหลากรุ่นวิ่งทดสอบให้เราเห็นตลอดเวลา แต่ไม่สามารถเก็บภาพหรือบอกเล่าสู่กันฟังได้