บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปเตรียมยกขบวนรถกว่า 40 รุ่นเปิดตัวใน 2 ปีหน้า ส่วนหนึ่งเพื่อเพิ่มศักยภาพการทำกำไรไว้อัดฉีดโครงการรถไฟฟ้า และอีกส่วนเพื่อฟื้นการเติบโต หลังถูกเมอร์เซเดส-เบนซ์ทำยอดขายแซงหน้าเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปี
ปีที่ผ่านมา บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปที่ประกอบด้วย 3 แบรนด์รถหรู ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู, โรลส์รอยซ์ และมินิ มียอดขายรวมกัน 2,367,603 คัน เพียงพอที่จะทำให้บริษัทเรียกตัวเองอย่างมั่นใจว่า ผู้ผลิตรถหรูชั้นนำของโลก
ดร.นิโคลัส ปีเตอร์ ประธานฝ่ายการเงินของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป บอกว่า ปี 2016 ถือเป็นปีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบศตวรรษของบริษัท ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่า นวัตกรรมและศักยภาพการทำกำไรสามารถไปด้วยกันได้ โดยทั้งยอดจัดส่ง รายได้ และผลกำไรของกลุ่มพร้อมใจทำสถิติสูงสุดใหม่
ยอดขายเฉพาะของบีเอ็มดับเบิลยูแบรนด์เดียวแตะหลัก 2 ล้านคันเป็นครั้งแรก โดยมีเอสยูวีเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ขณะที่ซีรี่ส์ X ติดท็อป 3 รถที่ขายดีที่สุดของบีเอ็มดับเบิลยู (644,992 คัน) โดยซีรี่ส์ 7 นั้นได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นับจากเปิดตัวในปีที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้ บริษัทจึงจัดการรวมสองเทรนด์เด่นนี้เข้าด้วยกันกลายเป็นเอสยูวีหรูใหม่ X7 ซึ่งเป็นออฟโรดขนาดใหญ่ที่สุดของบีเอ็มดับเบิลยู และจะเป็นคู่แข่งโดยตรงกับเรนจ์ โรเวอร์
ฮารัลด์ ครูเกอร์ ประธานกรรมการบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป เสริมว่า X7 จะเป็นการเปิดตัวยิ่งใหญ่ที่สุด แต่จะเป็นเพียงรุ่นเดียวจากกว่า 40 รุ่นใหม่และรุ่นเก่าที่นำมาแปลงโฉมใหม่จากทั้งสามแบรนด์ที่จะเปิดตัวในปี 2018 และ 2019 อาทิ ครอสโอเวอร์ X2 และ i8 สปายเดอร์
บีเอ็มดับเบิลยูยืนยันว่า จะขยายสายการผลิตรถไฮบริด และเดินตามแผนขายรถไฮบริดหรือรถไฟฟ้าเต็มรูปแบบให้ได้ 100,000 คันภายใน 12 เดือนหน้า โดยครูเกอร์ชี้ว่า การเตรียมเปิดตัวรถกว่า 40 รุ่นจะช่วยเพิ่มศักยภาพการทำกำไรและทำให้บริษัทมีเงินทุนอัดฉีดกลยุทธ์รถไฟฟ้าในระยะยาว
ครูเกอร์แจงว่า ปีที่ผ่านมา รถไฟฟ้าคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 2.6% ของยอดขายรวมของทั้งกลุ่ม อย่างไรก็ดี ในบางตลาดของสหภาพยุโรป (อียู) ตัวเลขเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 20%
ประธานกรรมการบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปยังบอกอีกว่า มินิไฮบริดรุ่นแรกคือ คลับแมน จะเปิดตัวซัมเมอร์นี้แน่นอนเพื่อกระตุ้นความสนใจในรถไฟฟ้า และยืนยันว่า i8 รถสปอร์ตเปิดประทุนไฮบริดจะตามออกมาต้นปีหน้า นอกจากนั้นตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นไป บริษัทจะเพิ่มการลงทุนในรถปลั๊ก-อิน และกำหนดฤกษ์ดีเผยโฉมมินิระบบไฟฟ้าเต็มตัวในปี 2019 และบีเอ็มดับเบิลยู X3 ระบบไฟฟ้าทั้งหมดในปี 2020
บีเอ็มดับเบิลยูเชื่อเช่นเดียวกับคู่แข่งร่วมชาติอย่างโฟล์คสวาเกนและเมอร์เซเดสว่า รถไฟฟ้าจะมีสัดส่วนถึง 25% ของยอดขายรวม ต่อเมื่อโครงสร้างพื้นฐานและกฎระเบียบพัฒนาตามทันความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีเท่านั้น และความไม่แน่นอนนี้เองที่ทำให้บีเอ็มดับเบิลยูจะยังคงพัฒนารถไฮบริดและเทคโนโลยีอื่นๆ ไปพร้อมกัน เช่น เซลล์เชื้อเพลิงซึ่งเหมาะสำหรับรถขนาดใหญ่และการวิ่งทางไกล โดยครูเกอร์คาดว่า จะสามารถเปิดตัวรถที่ใช้เซลล์เชื้อเพลิงตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป
นอกจากนั้น แผนการเปิดตัวรถกว่า 40 รุ่นใน 24 เดือนข้างหน้ายังมีเป้าหมายเพื่อฟื้นการเติบโต หลังจากยอดขายแบรนด์บีเอ็มดับเบิลยูถูกเมอร์เซเดส-เบนซ์แซงเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปี และศักยภาพการทำกำไรลดลงต่ำสุดในรอบ 6 ปีเมื่อปีที่แล้ว
ทั้งนี้ ปีที่ผ่านมา ยอดขายทั่วโลกของแบรนด์บีเอ็มดับเบิลยูเพิ่มขึ้นเพียง 5.2% อยู่ที่ 2 ล้านคัน ขณะที่ยอดขายของเมอร์เซเดสเพิ่มขึ้นถึง 11% เป็น 2.23 ล้านคัน
ครูเกอร์บอกว่า กลยุทธ์ในการแก้เกมนี้คือ บีเอ็มดับเบิลยูจะโฟกัสที่ศักยภาพการทำกำไรแทนตัวเลขยอดขาย ควบคู่ไปกับการเตรียมพร้อมสำหรับรถไฟฟ้าและเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติ ซึ่งล้วนเป็นการลงทุนราคาแพงสำหรับบริษัท
ปีที่แล้ว บีเอ็มดับเบิลยูลงทุน 5,600 ล้านดอลลาร์ หรือ 5.5% ของรายได้ไปกับการวิจัยและพัฒนา และสำหรับในช่วง 2 ปีหน้า บริษัทตั้งเป้าลงทุนด้านนี้เพิ่มขึ้น ครูเกอร์สำทับว่า บีเอ็มดับเบิลยูหมายมั่นปั้นมือท้าทายเมอร์เซเดสเพื่อวางตำแหน่งบริษัทในฐานะแบรนด์ที่แข็งแกร่งที่สุดในเซ็กเมนต์รถหรู ควบคู่กับการเพิ่มยอดขายและรายได้ในปี 2020