ปักกิ่งประกาศแผนเปลี่ยนแท็กซี่ในเมืองที่ปัจจุบันมีอยู่กว่า 70,000 คันให้เป็นรถไฟฟ้าทั้งหมด เพื่อช่วยลดปัญหามลพิษและเป็นส่วนหนึ่งของโครงการรณรงค์ของรัฐบาลให้ประชาชนรวมถึงภาคธุรกิจหันมาใช้รถไฟฟ้ามากขึ้น ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ช่วงหลายปีมานี้ แดนมังกรขยับขยายกลายเป็นตลาดรถไฟฟ้าใหญ่ที่สุดของโลก
แผนการดังกล่าวจะทำให้บริษัทแท็กซี่มีต้นทุนประมาณ 1,300 ล้านดอลลาร์ หรือตกคันละ 19,000 ดอลลาร์ (สองเท่าของราคารถทั่วไป) ซึ่งแม้ยังไม่มีความชัดเจนมากนักทั้งเรื่องกำหนดเวลาและแนวทางในการดำเนินการ แต่ดูเหมือนงานนี้ รัฐบาลคงต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือ เนื่องจากเป็นโปรเจ็กต์ที่ค่อนข้างใหญ่ครอบคลุมแท็กซี่ถึง 67,000 คัน จากทั้งหมด 71,000 คัน เปรียบเทียบกับจำนวนแท็กซี่ในนิวยอร์กขณะนี้ที่มีอยู่ราว 13,000 คันเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้คงต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ เนื่องจากคำสั่งของปักกิ่งมีเป้าหมายที่แท็กซี่รุ่นใหม่ จึงต้องรออีกอย่างน้อยสิบปีจนกว่าแท็กซี่ที่ให้บริการอยู่ขณะนี้จะถูกปลดระวาง
ดีทรอยต์ บูโรยังตั้งข้อสังเกตว่า นี่ไม่ใช่แผนการใหม่แกะกล่อง ปักกิ่งเคยประกาศขึงขังตั้งแต่เมื่อสามปีที่แล้วว่า จะเปลี่ยนแท็กซี่ที่ตอนนั้นมีอยู่ประมาณ 46,000 คันเป็นรถไฟฟ้าภายใน 4 ปี
กระนั้น นี่อาจถือเป็นฤกษ์งามยามดีที่จีนจะจริงจังกับพลังงานสีเขียวมากขึ้น ปีที่ผ่านมา แดนมังกรมีรถไฟฟ้าวิ่งบนถนนเพิ่มขึ้นสองเท่าเป็นมากกว่า 600,000 คัน กระทั่งอิเล็กเทรค เว็บไซต์ข่าวที่ติดตามการเปลี่ยนแปลงจากระบบขนส่งที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นระบบไฟฟ้า ยกให้จีนเป็นตลาดรถไฟฟ้าใหญ่ที่สุดในโลก
หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้คือ การขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่วนใหญ่ต้องอาศัยกระแสไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหิน ส่งผลให้จีนประสบปัญหามลพิษขั้นรุนแรง ระหว่างการเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกที่ปักกิ่งในปี 2008 ทางการต้องสั่งให้โรงงานจำนวนมากปิดชั่วคราวนานหลายสัปดาห์ และห้ามรถบัสและรถอื่นๆ วิ่งในเมืองหลวง
ผลปรากฏว่า ชาวปักกิ่งนับล้านได้เห็นพระอาทิตย์เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน แต่ก็ต้องแลกด้วยต้นทุนทางเศรษฐกิจมูลค่ามหาศาล
การศึกษาในปี 2015 พบว่า มลพิษทางอากาศเป็นต้นเหตุการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรถึง 4,000 รายต่อวันในจีน
นอกจากนั้น เมื่อต้นปี ปักกิ่งยังต้องยกเลิกเที่ยวบินนับสิบเที่ยว รวมทั้งระงับการให้บริการรถประจำทางเนื่องจากหมอกควันคละคลุ้งรุนแรง และต้องออกประกาศเตือนภัยมลพิษระดับสีแดง
กระนั้น เมื่อเดือนที่แล้ว ทางการจีนกลับสั่งให้บริษัทแอร์ แมตเทอร์สหยุดรายงานระดับมลพิษที่พุ่งทะลุดัชนีคุณภาพอากาศอย่างเป็นทางการของรัฐบาลที่ระดับ 500
ปักกิ่งนั้นถือเป็นสัญลักษณ์การเติบโตอย่างรวดเร็วของจีนทั้งในด้านการจ้างงาน ประชากร ยอดขายรถ การปล่อยไอเสีย ฯลฯ และแท็กซี่กลายเป็นเป้าหมายอันดับต้นๆ สำหรับโครงการของรัฐบาล เนื่องจากแท็กซี่ในปักกิ่งค่อนข้างเก่า ทรุดโทรม และขาดการซ่อมบำรุง ที่สำคัญยังเป็นต้นตอสำคัญของมลพิษทางอากาศที่ชัดเจน
ความเคลื่อนไหวล่าสุดของปักกิ่งเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ “รถพลังงานใหม่” (เอ็นอีวี) ของรัฐบาลที่มุ่งส่งเสริมการผลิตและการขายรถปลั๊ก-อิน ไฮบริดและรถไฟฟ้าแบบใช้แบตเตอรี่ ซึ่งส่งผลให้ยอดขายช่วงหลายปีมานี้พุ่งทะลุทะลวง และจีนกลายเป็นตลาดรถไฟฟ้าปลั๊ก-อินใหญ่ที่สุดของโลก ยอดขายฟลีท ซึ่งรวมถึงส่วนที่ขายให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ เป็นหนึ่งในมาตรการสนับสนุนการผลิตและมาตรการจูงใจในการซื้อรถไฟฟ้า
ขณะเดียวกัน ผู้ผลิตรถของจีนเล็งเห็นว่า แท็กซี่ รถบัส และรถบรรทุก เป็นตลาดสำคัญและช่องทางเข้าถึงมาตรการสนับสนุนของโครงการเอ็นอีวี ตัวอย่างเช่น บีวายดีที่กำลังทดสอบแท็กซี่ไฟฟ้าในเมืองใหญ่บางแห่ง เช่น เซินเจิ้น เพิ่มเติมจากเมื่อ 4 ปีที่แล้วที่บริษัทแห่งนี้ได้ออร์เดอร์จากสำนักงานตำรวจเซินเจิ้นในการผลิตรถไฟฟ้า 500 คัน
อย่างไรก็ดี โครงการแท็กซี่ไฟฟ้าในปักกิ่งยังมีอุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่งคือ การขาดแคลนสถานีชาร์จ คนขับรถไฟฟ้าทั้งรถส่วนตัวและแท็กซี่ต้องรอคิวชาร์จกันนานมาก บางครั้งนานถึง 6 ชั่วโมง
หนังสือพิมพ์ธุรกิจไคซินรายงานว่า เฉพาะย่านถงโจวในปักกิ่งมีแท็กซี่ไฟฟ้าราว 200 คัน แต่สามารถออกให้บริการได้แค่ 100 คัน เพราะอีก 100 คันติดแหงกอยู่ในคิวรอชาร์จไฟ