นิสสันทยอยเติมความสดใหม่ให้กับ SUV ในกลุ่ม C-Segment ของตัวเองอย่างต่อเนื่อง เพราะต่อจากการปรับโฉมของ Rogue ซึ่งวางขายในตลาดอเมริกาเหนือแล้ว คราวนี้มาถึงคิวของตลาดยุโรปกับการจับเอา Qashqai มาเติมความสดใหม่ และกระตุ้นตลาดเพื่อรับมือกับการเข้ามาของคู่ปรับอย่าง มาสด้า CX-5 และฮอนด้า CR-V ที่เป็นโฉมใหม่แกะกล่อง
สำหรับ Qashqai ถือเป็น SUV รุ่นที่มีความสำคัญสำหรับนิสสันในการเปิดตลาดยุโรป และถือว่ามีส่วนในการพลิกพฤติกรรมของลูกค้าในกลุ่มนี้ให้เปลี่ยนแนวทางในการใช้รถยนต์จากแฮทช์แบ็กมาเป็น SUV ซึ่งรุ่นแรกที่เปิดตัวในปี 2008 ได้รับการตอบรับที่ดีอย่างมาก จนกระทั่งมาถึงรุ่นที่ 2 ซึ่งเปิดตัวในปี 2014
และที่เห็นอยู่นี้คือ รุ่นปรับโฉมที่มีการพลิกหน้าตาค่อนข้างเยอะมากจากรุ่นดั้งเดิมที่เปิดตัวเมื่อ 3 ปีที่แล้ว โดยคุณสามารถสัมผัสกับความเปลี่ยนแปลงทางด้านรูปลักษณ์ภายนอกได้อย่างชัดเจน เพราะงานนี้นิสสันจัดเต็มด้วยการเปลี่ยนทั้งไฟหน้า กระจังหน้า และกันชนหน้าใหม่ โดยเฉพาะกระจังหน้ามาพร้อมกับรูปทรงแบบ V-Shape ตามแบบฉบับรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ของนิสสัน ส่วนด้านท้ายก็มีการเปลี่ยนรายละเอียดของชุดไฟใหม่ เพื่อให้สัมผัสที่สดใหม่โดยเฉพาะแนวไฟแบบ Boomerang ที่นำมาใช้กับรุ่นปรับโฉมของ Juke
อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่ภายในอาจจะผิดหวังเล็กน้อย เพราะแทบไม่ได้มีการปรับอะไรเพิ่มเติมจากรุ่นปี 2014 สักเท่าไรนัก นอกจากวัสดุที่ใช้ในการตกแต่ง และลวดลายของเบาะคู่หน้าและหลัง ที่มีการเล่นลวดลายให้ดูสวยและสปอร์ตขึ้น ขณะที่แผงหน้าปัดและมารตรวัดแทบจะยกชุดกันมายกเว้นพวงมาลัย 3 ก้านลายใหม่
สิ่งที่เพิ่มเติมเข้าไปและทำให้ Qashqai ดูน่าสนใจคือ เรื่องของเทคโนโลยี ทั้ง Nissan Connect ที่มีการเชื่อมต่อกับระบบความบันเทิงต่างๆ ซึ่งก็รวมถึงระบบเสียงแบบ DAB Digital Radio และระบบนำทาง แถมยังมีชุดลำโพงของ Bose ให้เลือกเป็นออพชั่นที่สามารถจ่ายเงินเพิ่ม
นอกจากนั้น ระบบความปลอดภัยมากมายมีการติดตั้งเข้ามาใน Qashqai เพื่อช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ เช่น Intelligent Emergency Braking system และ Pedestrian Recognition & Rear Cross Traffic Alert ระบบจดจำป้ายสัญญาณจราจร Traffic Sign Recognition, ระบบแจ้งเตือนเพื่อในกรณีที่ผู้ขับขี่มีอาการง่วงหรือละสายตาจากถนน Driver Attention Alert, ระบบช่วยในการจอด Intelligent Park Assist, กล้องแสดงภาพรอบตัวรถ Intelligent Around View Monitor, ระบบแจ้งเตือนในกรณีที่มีสิ่งกีดขวางในมุมอับ Blind Spot Warning และระบบแจ้งเตือนเมื่อรถออกนอกเส้นทาง Lane Departure Warning
เครื่องยนต์ที่ทำตลาดยังมีเหมือนกับรุ่นเดิม เริ่มกับเบนซินDIG Turbo แบบ 1,200 ซีซี 115 แรงม้า ตามด้วย DIG-T บล็อก 4 สูบ 1,600 ซีซี 150 แรงม้า และเครื่องยนต์ 2,000 ซีซี แบบ NA ที่มีกำลัง 150 แรงม้า ส่วนเทอร์โบดีเซลมีทางเลือกเริ่มต้นที่ 4 สูบ 1,500 ซีซี 110 แรงม้า ตามด้วย 1,600 ซีซี 131 แรงม้า โดยระบบขับเคลื่อนมีให้เลือกทั้งแบบล้อหน้าอย่างเดียว และ 4 ล้ออัตโนมัติ
ในยุโรปเปิดตัวแล้วที่เจนีวา มอเตอร์โชว์ เมื่อต้นเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา และจะเริ่มวางขายในช่วงเดือนเมษายนนี้ ส่วนบ้านเราซึ่งมี SUV ที่ชื่อว่า X-Trail ทำตลาดอยู่ ก็คงจะใกล้ถึงเวลาของการปรับโฉมตามอายุไขของโมเดลแล้ว.
สำหรับ Qashqai ถือเป็น SUV รุ่นที่มีความสำคัญสำหรับนิสสันในการเปิดตลาดยุโรป และถือว่ามีส่วนในการพลิกพฤติกรรมของลูกค้าในกลุ่มนี้ให้เปลี่ยนแนวทางในการใช้รถยนต์จากแฮทช์แบ็กมาเป็น SUV ซึ่งรุ่นแรกที่เปิดตัวในปี 2008 ได้รับการตอบรับที่ดีอย่างมาก จนกระทั่งมาถึงรุ่นที่ 2 ซึ่งเปิดตัวในปี 2014
และที่เห็นอยู่นี้คือ รุ่นปรับโฉมที่มีการพลิกหน้าตาค่อนข้างเยอะมากจากรุ่นดั้งเดิมที่เปิดตัวเมื่อ 3 ปีที่แล้ว โดยคุณสามารถสัมผัสกับความเปลี่ยนแปลงทางด้านรูปลักษณ์ภายนอกได้อย่างชัดเจน เพราะงานนี้นิสสันจัดเต็มด้วยการเปลี่ยนทั้งไฟหน้า กระจังหน้า และกันชนหน้าใหม่ โดยเฉพาะกระจังหน้ามาพร้อมกับรูปทรงแบบ V-Shape ตามแบบฉบับรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ของนิสสัน ส่วนด้านท้ายก็มีการเปลี่ยนรายละเอียดของชุดไฟใหม่ เพื่อให้สัมผัสที่สดใหม่โดยเฉพาะแนวไฟแบบ Boomerang ที่นำมาใช้กับรุ่นปรับโฉมของ Juke
อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่ภายในอาจจะผิดหวังเล็กน้อย เพราะแทบไม่ได้มีการปรับอะไรเพิ่มเติมจากรุ่นปี 2014 สักเท่าไรนัก นอกจากวัสดุที่ใช้ในการตกแต่ง และลวดลายของเบาะคู่หน้าและหลัง ที่มีการเล่นลวดลายให้ดูสวยและสปอร์ตขึ้น ขณะที่แผงหน้าปัดและมารตรวัดแทบจะยกชุดกันมายกเว้นพวงมาลัย 3 ก้านลายใหม่
สิ่งที่เพิ่มเติมเข้าไปและทำให้ Qashqai ดูน่าสนใจคือ เรื่องของเทคโนโลยี ทั้ง Nissan Connect ที่มีการเชื่อมต่อกับระบบความบันเทิงต่างๆ ซึ่งก็รวมถึงระบบเสียงแบบ DAB Digital Radio และระบบนำทาง แถมยังมีชุดลำโพงของ Bose ให้เลือกเป็นออพชั่นที่สามารถจ่ายเงินเพิ่ม
นอกจากนั้น ระบบความปลอดภัยมากมายมีการติดตั้งเข้ามาใน Qashqai เพื่อช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ เช่น Intelligent Emergency Braking system และ Pedestrian Recognition & Rear Cross Traffic Alert ระบบจดจำป้ายสัญญาณจราจร Traffic Sign Recognition, ระบบแจ้งเตือนเพื่อในกรณีที่ผู้ขับขี่มีอาการง่วงหรือละสายตาจากถนน Driver Attention Alert, ระบบช่วยในการจอด Intelligent Park Assist, กล้องแสดงภาพรอบตัวรถ Intelligent Around View Monitor, ระบบแจ้งเตือนในกรณีที่มีสิ่งกีดขวางในมุมอับ Blind Spot Warning และระบบแจ้งเตือนเมื่อรถออกนอกเส้นทาง Lane Departure Warning
เครื่องยนต์ที่ทำตลาดยังมีเหมือนกับรุ่นเดิม เริ่มกับเบนซินDIG Turbo แบบ 1,200 ซีซี 115 แรงม้า ตามด้วย DIG-T บล็อก 4 สูบ 1,600 ซีซี 150 แรงม้า และเครื่องยนต์ 2,000 ซีซี แบบ NA ที่มีกำลัง 150 แรงม้า ส่วนเทอร์โบดีเซลมีทางเลือกเริ่มต้นที่ 4 สูบ 1,500 ซีซี 110 แรงม้า ตามด้วย 1,600 ซีซี 131 แรงม้า โดยระบบขับเคลื่อนมีให้เลือกทั้งแบบล้อหน้าอย่างเดียว และ 4 ล้ออัตโนมัติ
ในยุโรปเปิดตัวแล้วที่เจนีวา มอเตอร์โชว์ เมื่อต้นเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา และจะเริ่มวางขายในช่วงเดือนเมษายนนี้ ส่วนบ้านเราซึ่งมี SUV ที่ชื่อว่า X-Trail ทำตลาดอยู่ ก็คงจะใกล้ถึงเวลาของการปรับโฉมตามอายุไขของโมเดลแล้ว.
