ขึ้นพาดหัวว่า JLR ผู้อ่านบางท่านอาจจะไม่ทราบว่าคืออะไร จึงต้องขออนุญาตเล่าคร่าวๆ ก่อนดังนี้ JLR คือชื่อการเรียกแบบย่อของ แบรนด์ “จากัวร์และแลนด์ โรเวอร์” (Jaguar and Land Rover) เนื่องจากทั้ง 2 แบรนด์ ปัจจุบันทำตลาดและแชร์เทคโนโลยีร่วมกัน โดยอยู่ภายใต้การบริหารของ “ทาทา” กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่จากอินเดีย
สำหรับการทำตลาด “จากัวร์และแลนด์ โรเวอร์” ในประเทศไทย ล่าสุดมีการเปลี่ยนตัวแทนจำหน่ายเจ้าใหม่เข้ามานั่นก็คือ บริษัท อินช์เคป (ประเทศไทย) จำกัด กลุ่มผู้ค้ารถจากประเทศอังกฤษที่มีเครือข่ายการขายคลอบคลุมทั้งเอเชียและยุโรป การเข้ามาครั้งนี้ของ อินช์เคป เป้าหมายแรกคือการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้รถ“จากัวร์และแลนด์ โรเวอร์” ในประเทศไทยว่าจะมีคนดูแลได้อย่างแน่นอน
นอกจากนั้นในส่วนของการขายจะมีรถรุ่นใหม่ๆ เปิดตัวออกมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับรถยนต์รุ่นใหม่ที่เปิดตัวเป็นครั้งแรกภายใต้การบริหารงานของอินช์เคป คือ “จากัวร์ เอฟ-เพซ” ซึ่ง MGR มอเตอริ่งได้รับเชิญเข้าร่วมทริปทดลองขับที่ทางอินซ์เคป จัดขึ้น ไม่เฉพาะการขับ เอฟ-เพซ เท่านั้นแต่ได้ขับรวมกันถึง 5 รุ่นบนเส้นทางภูเก็ต-กรุงเทพฯ ระยะทางกว่า 860 กม. ผลลัพท์เป็นอย่างไร มีรุ่นใดให้ทดลองขับบ้าง ไปชมกันได้
เรนจ์ โรเวอร์ ไฮบริด (Range Rover Hybrid) ราคา 9,999,000 บาท
คันแรกที่เราขับกับพี่ใหญ่ของค่าย JLR เรนจ์ โรเวอร์ ไฮบริด ค่าตัว 10 ล้านได้ทอน 1,000 บาท ความรู้สึกแรกคือ ใหญ่มาก กว้างขวาง โอ่โถง ทัศนวิสัยชัดเจนทุกมุมมอง ผู้เขียนได้นั่งทางเบาะหลังก่อน บอกเลยว่า นี่คือตำแหน่งที่ดีที่สุด นั่งสบายนุ่ม เสมือนหนึ่งนั่งบนโซฟาที่บ้าน ไม่นับรวมถึงอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบครัน
ครั้นเราได้มาประจำตำแหน่งพลขับ เพียงกดคันเร่งแรกก็รับรู้ถึงพละของเครื่องยนต์ ดีเซลไฮบริด 6 สูบ ขนาด 3.0 ลิตร ที่มีกำลังสูงสุด 340 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร สามารถนำพาเราทะยานไปได้อย่างไม่ต้องกังวลใด ความเร็วสูงสุดที่เราลองขับได้แตะที่ 180 กม./ชม. รถยังคงนิ่งๆ ไม่ได้รู้สึกว่าเร็วแต่ประการใด การเก็บเสียงทำได้ดีเยี่ยม
จากัวร์ เอฟ-เพซ ( Jaguar F-Pace ) ราคา 4,699,000-5,999,000 บาท
ต่อจากนั้นถึงคิวสลับรถเราได้มาขับ จากัวร์ เอฟ-เพซ พระเอกของการขับในครั้งนี้ ความรู้สึกแรกเทียบเคียงกับการรุ่นใหญ่อย่าง เรนจ์ โรเวอร์ ไฮบริด ความนุ่มคงไม่เท่า เพราะจากัวร์ เอฟ-เพซ ถูกสร้างขึ้นบนแนวคิด รถสปอร์ตยกสูง ดังนั้น การขับขี่จึงเน้นไปในเรื่องของสมรรถนะมากกว่า
การตอบสนองต้องยอมรับว่า แม้จากัวร์ เอฟ-เพซ จะมีเครื่องยนต์ดีเซลขนาดแค่ 2.0 ลิตร แต่พละกำลังขนาด 180 แรงม้า เพียงพอที่จะพาเราพุ่งทะยานไปแตะที่ระดับความเร็ว 200 กม./ชม. ได้อย่างไม่ยากเย็นแต่ประการใด แถมการทรงตัวนิ่งดีเยี่ยมให้ความรู้สึกอุ่นใจตลอดการเดินทาง อัตราเร่งจากแรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร เร่งแซงมั่นใจได้ตลอดทุกย่านความเร็ว
ด้วยราคาระดับ 4.699-5.999 ล้านบาท จากัวร์ เอฟ-เพซ จะมีคู่แข่งโดยตรงคือ บีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์4 และเมอร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลซี ซึ่งถือว่าเป็นคู่ต่อกรที่ตัดสินใจเลือกยากพอสมควร แต่ถ้าชอบความแตกต่าง จากัวร์ เอฟ-เพซ ตอบโจทย์นั้นได้อย่างไม่ต้องสงสัย
จากัวร์ เอ็กซ์เจ (Jaguar XJ) ราคา 7,999,000 บาท
คันต่อมาของเราคือ จากัวร์ เอ็กซ์เจ รถแบบซีดานระดับหรูหราที่สุดของค่ายเสือดำจากเกาะอังกฤษ การนั่งเบาะหลังดูจะเป็นตำแหน่งที่กว้างขวางที่สุด ให้ความรู้สึกผ่อนคลายพร้อมกับที่วางของซึ่งสามารถวางโน้ตบุคเพื่อทำงานได้อย่างสะดวกสบาย พร้อมหน้าจอที่ให้ความบันเทิงได้ตลอดการเดินทาง
เมื่อเข้าเป็นคนขับ เบาะนั่งโอบกระชับ ให้ความรู้สึกสปอร์ตเต็มรูปแบบทั้งจากการตกแต่งภายในที่ดีไซน์คอนโซลหน้าเป็นแบบโค้งมุมกว้าง การจัดวางอุปกรณ์ต่างๆ เหมาะเจาะและดูหรูหรา การตอบสนองของเครื่องยนต์ 4 สูบ 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 200 แรงม้า แรงบิด 320 นิวตันเมตร เพียงพอต่อการขับเคลื่อนไม่การอืดหรือรอรอบแต่อย่างใด วิ่งเนียนๆ ทำความเร็วมากกว่า 140 กม./ชม. โดยความรู้สึกมั่นใจ อาจจะมีติดขัดบ้างตรงเรื่องของค่าตัว เกือบ 8 ล้าน ซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับคู่แข่งในระดับเดียวกัน นั่นเพราะรถทุกคันของ JLR เป็นการนำเข้าสำเร็จรูปจากอังกฤษจึงแบกรับภาษีแพงกว่า
จากัวร์ เอ็กซ์อี (Jaguar XE) ราคา 3,499,000 บาท
น้องเล็กสุดของการขับในครั้งนี้ เราได้สัมผัสจากัวร์ เอ็กซ์อี ในช่วงเส้นทางหัวหิน-วังมะนาว ซึ่งค่อนข้างคุ้นเคยเส้นทาง ความรู้สึกแรกคือ ไม่เล็กนะครับ เดิมจากการมองภายนอกดูแล้วถ้านั่งหลังขาอาจจะติด แต่เมื่อเข้าไปนั่งจริง มีที่ว่างเหลือเฟือสำหรับการนั่งที่เบาะหลัง แม้จะไม่สบายเท่าคันอื่นๆใน 5 คัน แต่หลับสบายได้ตามมาตรฐานของรถยุโรป
การขับขี่เรียกว่า สนุกเร้าใจตามสไตล์สปอร์ตได้ ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบขนาด2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 200 แรงม้า แรงบิด 320 นิวตันเมตร ตัวถังทำจากอลูมิเนียมอัลลอลเกรดใหม่ที่เบาและแข็งแรงกว่าเดิม โดยรวมจากัวร์ เอ็กซ์อี ขับสนุกที่สุดในบรรดา 5 คันที่เราขับมา
เรนจ์ โรเวอร์ สปอร์ต ไฮบริด (Range Rover Sport Hybrid) ราคา 6,999,000-7,999,000 บาท
คันสุดท้ายที่เราขับบนเส้นทางพระราม2 มุ่งหน้าเข้ากทม. ประจำการหลังพวงมาลัย เครื่องยนต์ไฮบริดดีเซล วี6 ขนาด 3.0 ลิตร กำลังสูงสุด 340 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700 นิวตัน ให้การขับขี่ที่สปอร์ตสมกับชื่อรุ่น แตกต่างจากพี่ใหญ่เรนจ์ โรเวอร์ ไฮบริด ชัดเจนทั้งในแง่ของความนุ่มนวลและการตอบสนองของคันเร่งทันใจมีจังหวะดึงหลังติดเบาะได้เบาๆ
หากคุณกำลังมองหาความสนุกของการขับขี่แต่อยากได้รถแบบเอนกประสงค์ ขนาดค่อนข้างใหญ่ เรนจ์ โรเวอร์ สปอร์ต ไฮบริด เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ หากงบประมาณไม่ใช่ปัญหา อย่างไรก็ตามด้วยค่าตัวระดับ 7-8 ล้านบาท ตัวเลือกอื่นที่ระดับราคาต่ำกว่ามีอยู่ไม่น้อย รวมถึง จากัวร์ เอฟ-เพช เองก็เข้าข่ายดึงลูกค้าที่สนใจเปลี่ยนไปจองได้เช่นกัน
สรุปการขับบนเส้นทางกว่า 860 กม. รถJLR ทั้ง 5 คันมีบุคลิกแตกต่างกันไปตามไสตล์การออกแบบอย่างชัดเจน ถ้าให้เราเลือกหนึ่งคันราคาไม่เกี่ยง ในหัวข้อความนุ่มและอลังการ “เรนจ์ โรเวอร์ ไฮบริด” คือคำตอบ ส่วนหัวข้อ สปอร์ตและเอนกประสงค์ “จากัวร์ เอฟ-เพซ” นอนมาอย่างไม่ต้องสงสัย
สำหรับการทำตลาด “จากัวร์และแลนด์ โรเวอร์” ในประเทศไทย ล่าสุดมีการเปลี่ยนตัวแทนจำหน่ายเจ้าใหม่เข้ามานั่นก็คือ บริษัท อินช์เคป (ประเทศไทย) จำกัด กลุ่มผู้ค้ารถจากประเทศอังกฤษที่มีเครือข่ายการขายคลอบคลุมทั้งเอเชียและยุโรป การเข้ามาครั้งนี้ของ อินช์เคป เป้าหมายแรกคือการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้รถ“จากัวร์และแลนด์ โรเวอร์” ในประเทศไทยว่าจะมีคนดูแลได้อย่างแน่นอน
นอกจากนั้นในส่วนของการขายจะมีรถรุ่นใหม่ๆ เปิดตัวออกมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับรถยนต์รุ่นใหม่ที่เปิดตัวเป็นครั้งแรกภายใต้การบริหารงานของอินช์เคป คือ “จากัวร์ เอฟ-เพซ” ซึ่ง MGR มอเตอริ่งได้รับเชิญเข้าร่วมทริปทดลองขับที่ทางอินซ์เคป จัดขึ้น ไม่เฉพาะการขับ เอฟ-เพซ เท่านั้นแต่ได้ขับรวมกันถึง 5 รุ่นบนเส้นทางภูเก็ต-กรุงเทพฯ ระยะทางกว่า 860 กม. ผลลัพท์เป็นอย่างไร มีรุ่นใดให้ทดลองขับบ้าง ไปชมกันได้
เรนจ์ โรเวอร์ ไฮบริด (Range Rover Hybrid) ราคา 9,999,000 บาท
คันแรกที่เราขับกับพี่ใหญ่ของค่าย JLR เรนจ์ โรเวอร์ ไฮบริด ค่าตัว 10 ล้านได้ทอน 1,000 บาท ความรู้สึกแรกคือ ใหญ่มาก กว้างขวาง โอ่โถง ทัศนวิสัยชัดเจนทุกมุมมอง ผู้เขียนได้นั่งทางเบาะหลังก่อน บอกเลยว่า นี่คือตำแหน่งที่ดีที่สุด นั่งสบายนุ่ม เสมือนหนึ่งนั่งบนโซฟาที่บ้าน ไม่นับรวมถึงอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบครัน
ครั้นเราได้มาประจำตำแหน่งพลขับ เพียงกดคันเร่งแรกก็รับรู้ถึงพละของเครื่องยนต์ ดีเซลไฮบริด 6 สูบ ขนาด 3.0 ลิตร ที่มีกำลังสูงสุด 340 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร สามารถนำพาเราทะยานไปได้อย่างไม่ต้องกังวลใด ความเร็วสูงสุดที่เราลองขับได้แตะที่ 180 กม./ชม. รถยังคงนิ่งๆ ไม่ได้รู้สึกว่าเร็วแต่ประการใด การเก็บเสียงทำได้ดีเยี่ยม
จากัวร์ เอฟ-เพซ ( Jaguar F-Pace ) ราคา 4,699,000-5,999,000 บาท
ต่อจากนั้นถึงคิวสลับรถเราได้มาขับ จากัวร์ เอฟ-เพซ พระเอกของการขับในครั้งนี้ ความรู้สึกแรกเทียบเคียงกับการรุ่นใหญ่อย่าง เรนจ์ โรเวอร์ ไฮบริด ความนุ่มคงไม่เท่า เพราะจากัวร์ เอฟ-เพซ ถูกสร้างขึ้นบนแนวคิด รถสปอร์ตยกสูง ดังนั้น การขับขี่จึงเน้นไปในเรื่องของสมรรถนะมากกว่า
การตอบสนองต้องยอมรับว่า แม้จากัวร์ เอฟ-เพซ จะมีเครื่องยนต์ดีเซลขนาดแค่ 2.0 ลิตร แต่พละกำลังขนาด 180 แรงม้า เพียงพอที่จะพาเราพุ่งทะยานไปแตะที่ระดับความเร็ว 200 กม./ชม. ได้อย่างไม่ยากเย็นแต่ประการใด แถมการทรงตัวนิ่งดีเยี่ยมให้ความรู้สึกอุ่นใจตลอดการเดินทาง อัตราเร่งจากแรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร เร่งแซงมั่นใจได้ตลอดทุกย่านความเร็ว
ด้วยราคาระดับ 4.699-5.999 ล้านบาท จากัวร์ เอฟ-เพซ จะมีคู่แข่งโดยตรงคือ บีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์4 และเมอร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลซี ซึ่งถือว่าเป็นคู่ต่อกรที่ตัดสินใจเลือกยากพอสมควร แต่ถ้าชอบความแตกต่าง จากัวร์ เอฟ-เพซ ตอบโจทย์นั้นได้อย่างไม่ต้องสงสัย
จากัวร์ เอ็กซ์เจ (Jaguar XJ) ราคา 7,999,000 บาท
คันต่อมาของเราคือ จากัวร์ เอ็กซ์เจ รถแบบซีดานระดับหรูหราที่สุดของค่ายเสือดำจากเกาะอังกฤษ การนั่งเบาะหลังดูจะเป็นตำแหน่งที่กว้างขวางที่สุด ให้ความรู้สึกผ่อนคลายพร้อมกับที่วางของซึ่งสามารถวางโน้ตบุคเพื่อทำงานได้อย่างสะดวกสบาย พร้อมหน้าจอที่ให้ความบันเทิงได้ตลอดการเดินทาง
เมื่อเข้าเป็นคนขับ เบาะนั่งโอบกระชับ ให้ความรู้สึกสปอร์ตเต็มรูปแบบทั้งจากการตกแต่งภายในที่ดีไซน์คอนโซลหน้าเป็นแบบโค้งมุมกว้าง การจัดวางอุปกรณ์ต่างๆ เหมาะเจาะและดูหรูหรา การตอบสนองของเครื่องยนต์ 4 สูบ 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 200 แรงม้า แรงบิด 320 นิวตันเมตร เพียงพอต่อการขับเคลื่อนไม่การอืดหรือรอรอบแต่อย่างใด วิ่งเนียนๆ ทำความเร็วมากกว่า 140 กม./ชม. โดยความรู้สึกมั่นใจ อาจจะมีติดขัดบ้างตรงเรื่องของค่าตัว เกือบ 8 ล้าน ซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับคู่แข่งในระดับเดียวกัน นั่นเพราะรถทุกคันของ JLR เป็นการนำเข้าสำเร็จรูปจากอังกฤษจึงแบกรับภาษีแพงกว่า
จากัวร์ เอ็กซ์อี (Jaguar XE) ราคา 3,499,000 บาท
น้องเล็กสุดของการขับในครั้งนี้ เราได้สัมผัสจากัวร์ เอ็กซ์อี ในช่วงเส้นทางหัวหิน-วังมะนาว ซึ่งค่อนข้างคุ้นเคยเส้นทาง ความรู้สึกแรกคือ ไม่เล็กนะครับ เดิมจากการมองภายนอกดูแล้วถ้านั่งหลังขาอาจจะติด แต่เมื่อเข้าไปนั่งจริง มีที่ว่างเหลือเฟือสำหรับการนั่งที่เบาะหลัง แม้จะไม่สบายเท่าคันอื่นๆใน 5 คัน แต่หลับสบายได้ตามมาตรฐานของรถยุโรป
การขับขี่เรียกว่า สนุกเร้าใจตามสไตล์สปอร์ตได้ ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบขนาด2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 200 แรงม้า แรงบิด 320 นิวตันเมตร ตัวถังทำจากอลูมิเนียมอัลลอลเกรดใหม่ที่เบาและแข็งแรงกว่าเดิม โดยรวมจากัวร์ เอ็กซ์อี ขับสนุกที่สุดในบรรดา 5 คันที่เราขับมา
เรนจ์ โรเวอร์ สปอร์ต ไฮบริด (Range Rover Sport Hybrid) ราคา 6,999,000-7,999,000 บาท
คันสุดท้ายที่เราขับบนเส้นทางพระราม2 มุ่งหน้าเข้ากทม. ประจำการหลังพวงมาลัย เครื่องยนต์ไฮบริดดีเซล วี6 ขนาด 3.0 ลิตร กำลังสูงสุด 340 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700 นิวตัน ให้การขับขี่ที่สปอร์ตสมกับชื่อรุ่น แตกต่างจากพี่ใหญ่เรนจ์ โรเวอร์ ไฮบริด ชัดเจนทั้งในแง่ของความนุ่มนวลและการตอบสนองของคันเร่งทันใจมีจังหวะดึงหลังติดเบาะได้เบาๆ
หากคุณกำลังมองหาความสนุกของการขับขี่แต่อยากได้รถแบบเอนกประสงค์ ขนาดค่อนข้างใหญ่ เรนจ์ โรเวอร์ สปอร์ต ไฮบริด เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ หากงบประมาณไม่ใช่ปัญหา อย่างไรก็ตามด้วยค่าตัวระดับ 7-8 ล้านบาท ตัวเลือกอื่นที่ระดับราคาต่ำกว่ามีอยู่ไม่น้อย รวมถึง จากัวร์ เอฟ-เพช เองก็เข้าข่ายดึงลูกค้าที่สนใจเปลี่ยนไปจองได้เช่นกัน
สรุปการขับบนเส้นทางกว่า 860 กม. รถJLR ทั้ง 5 คันมีบุคลิกแตกต่างกันไปตามไสตล์การออกแบบอย่างชัดเจน ถ้าให้เราเลือกหนึ่งคันราคาไม่เกี่ยง ในหัวข้อความนุ่มและอลังการ “เรนจ์ โรเวอร์ ไฮบริด” คือคำตอบ ส่วนหัวข้อ สปอร์ตและเอนกประสงค์ “จากัวร์ เอฟ-เพซ” นอนมาอย่างไม่ต้องสงสัย