แม้ว่า Panamera ที่วางขายอยู่จะเป็นตัวถังแบบ 4 ประตูก็ยังมีข้อจำกัดในการใช้งาน โดยเฉพาะในเรื่องของความอเนกประสงค์ซึ่งดูเหมือนว่าลูกค้า Porsche อาจจะมีเสียงบ่นตรงนี้กลับมา นั่นก็เลยทำให้พวกเขาต้องเปิดเผยทางเลือกตัวถังที่ 2 ออกมาในสไตล์แวกอนที่ชื่อว่า Sport Turismo
แน่นอนว่าตัวถังนี้มีการแชร์พื้นฐานทางวิศวกรรมร่วมกัน แต่แตกต่างออกไปเล็กน้อยตรงที่ตัวถังด้านหลัง จะถูกออกแบบให้คล้ายกับรถแวกอน โดยฝากระโปรงหลังพร้อมแผ่นกระจกบังลมหลังรวมเป็นชิ้นเดียวกัน ซึ่งเมื่อเปิดขึ้นมาก็จะพบกับพื้นที่ว่างในระดับ 520 ลิตรสำหรับใช้ในการบรรทุกสัมภาระ แต่ถ้ายังไม่พอก็สามารถพับเบาะหลังลงทั้งแผงเพื่อเพิ่มความจุเป็น 1,390 ลิตรก็ได้
ในแง่ของมิติตัวถังแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง ทว่าความยาวของตัวรถก็ไม่ได้เปลี่ยนไป และยังคงตัวเลขเอาไว้ที่ 5,049 มิลลิเมตร กว้าง 1,937 มิลลิเมตร และจากการที่เบาะหลังออกแบบให้สามารถใช้งานได้อย่างอเนกประสงค์ ทำให้นี่คือ Panamera รุ่นแรกที่บนเบาะหลังสามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ 3 คน เพราะปกติแล้วจะนั่งได้แค่ 2 เท่านั้น
ขณะเดียวกันแม้ตัวถังด้านท้ายจะออกแบบใหม่ แต่ก็ไม่ลืมติดตั้งสปอยเลอร์หลังแบบยกตัวได้มาให้ด้วย ซึ่งติดตั้งอยู่ด้านบนในระดับเดียวกับขอบหลังคา สามารถปรับได้อัตโนมัติ 3 ระดับ ขึ้นอยู่กับความเร็วที่ใช้ โดยเมื่อขับความเร็วเกิน 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็จะเอียงขึ้นอีก 1 องศาเพื่อช่วยเพิ่มการทรงตัว หรือเมื่อมีการเปิดกระจกของหลังคาแบบ Panoramic Sunroof ขึ้นมา สปอยเลอร์หลังก็จะเอียงเพิ่มอีก 26 องศาเพื่อลดเสียงลมเข้าสู่ห้องโดยสาร
สำหรับทางเลือกของเครื่องยนต์มาครบ 5 รุ่น คือ Panamera 4, Panamera 4S, Panamera 4S Diesel, Panamera 4 E-Hybrid และ Panamera Turbo สำหรับรุ่นธรรมดาจะมีกำลังอยู่ระหว่าง 325-456 แรงม้า โดยรุ่นท็อปอย่างตัว Turbo จะใช้ขุมพลังแบบวี8 4,000 ซีซี เทอร์โบ ที่มีกำลัง 542 แรงม้า เป็นตัวขับเคลื่อน
ค่าตัวของ Panamera Sport Turismo จะอยู่ที่ 102,860-167,225 เหรียญสหรัฐฯ หรือราวๆ 3.6-5.8 ล้านบาท และเชื่อว่าหลังจากเปิดตัวในงานเจนีวา มอเตอร์โชว์แล้ว เมืองไทยน่าจะนำเข้ามาเสริมทัพเป็นทางเลือกใหม่ให้กับลูกค้าอีกไม่นานหลังจากนี้ เพียงแต่ว่าราคาจะเปิดออกมาเท่าไรเท่านั้นเอง.
แน่นอนว่าตัวถังนี้มีการแชร์พื้นฐานทางวิศวกรรมร่วมกัน แต่แตกต่างออกไปเล็กน้อยตรงที่ตัวถังด้านหลัง จะถูกออกแบบให้คล้ายกับรถแวกอน โดยฝากระโปรงหลังพร้อมแผ่นกระจกบังลมหลังรวมเป็นชิ้นเดียวกัน ซึ่งเมื่อเปิดขึ้นมาก็จะพบกับพื้นที่ว่างในระดับ 520 ลิตรสำหรับใช้ในการบรรทุกสัมภาระ แต่ถ้ายังไม่พอก็สามารถพับเบาะหลังลงทั้งแผงเพื่อเพิ่มความจุเป็น 1,390 ลิตรก็ได้
ในแง่ของมิติตัวถังแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง ทว่าความยาวของตัวรถก็ไม่ได้เปลี่ยนไป และยังคงตัวเลขเอาไว้ที่ 5,049 มิลลิเมตร กว้าง 1,937 มิลลิเมตร และจากการที่เบาะหลังออกแบบให้สามารถใช้งานได้อย่างอเนกประสงค์ ทำให้นี่คือ Panamera รุ่นแรกที่บนเบาะหลังสามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ 3 คน เพราะปกติแล้วจะนั่งได้แค่ 2 เท่านั้น
ขณะเดียวกันแม้ตัวถังด้านท้ายจะออกแบบใหม่ แต่ก็ไม่ลืมติดตั้งสปอยเลอร์หลังแบบยกตัวได้มาให้ด้วย ซึ่งติดตั้งอยู่ด้านบนในระดับเดียวกับขอบหลังคา สามารถปรับได้อัตโนมัติ 3 ระดับ ขึ้นอยู่กับความเร็วที่ใช้ โดยเมื่อขับความเร็วเกิน 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็จะเอียงขึ้นอีก 1 องศาเพื่อช่วยเพิ่มการทรงตัว หรือเมื่อมีการเปิดกระจกของหลังคาแบบ Panoramic Sunroof ขึ้นมา สปอยเลอร์หลังก็จะเอียงเพิ่มอีก 26 องศาเพื่อลดเสียงลมเข้าสู่ห้องโดยสาร
สำหรับทางเลือกของเครื่องยนต์มาครบ 5 รุ่น คือ Panamera 4, Panamera 4S, Panamera 4S Diesel, Panamera 4 E-Hybrid และ Panamera Turbo สำหรับรุ่นธรรมดาจะมีกำลังอยู่ระหว่าง 325-456 แรงม้า โดยรุ่นท็อปอย่างตัว Turbo จะใช้ขุมพลังแบบวี8 4,000 ซีซี เทอร์โบ ที่มีกำลัง 542 แรงม้า เป็นตัวขับเคลื่อน
ค่าตัวของ Panamera Sport Turismo จะอยู่ที่ 102,860-167,225 เหรียญสหรัฐฯ หรือราวๆ 3.6-5.8 ล้านบาท และเชื่อว่าหลังจากเปิดตัวในงานเจนีวา มอเตอร์โชว์แล้ว เมืองไทยน่าจะนำเข้ามาเสริมทัพเป็นทางเลือกใหม่ให้กับลูกค้าอีกไม่นานหลังจากนี้ เพียงแต่ว่าราคาจะเปิดออกมาเท่าไรเท่านั้นเอง.
