xs
xsm
sm
md
lg

MG GS 1.5 Turbo คือมันใช่ ครบคุ้มค่า (ชมคลิป)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

เอ็มจี (MG) หนึ่งเป็นแบรนด์รถยนต์อังกฤษที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ปัจจุบันด้วยกระแสยุคใหม่ของโลกที่เปลี่ยนไปทำให้ เอ็มจี มาอยู่ในการบริหารงานของ SAIC ยักษ์ใหญ่อันดับ 1 ในอุตสาหกรรมยานยนต์ของจีน ซึ่งเมื่อเอ่ยคำว่า “รถยนต์จากจีน” คนไทยหลายคนจะเมินหน้าหนีทันที โดยไม่ทันได้ฟังอะไรต่อ เราขอวิงวอนว่า กรุณาอ่านต่อให้จบอีกสัก3บรรทัด แล้วจะรู้ว่า “เอ็มจี” ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดแม้แต่น้อย

“ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่” รถของเอ็มจี เป็นอย่างไรต้องย้อนมาดูที่ SAIC เป็นใครมาจากไหนทำอะไรได้บ้าง คำตอบคือ SAIC คือรัฐวิสาหกิจของจีนที่ร่วมทุนผลิตรถยนต์ให้กับแบรนด์ โฟล์คสวาเกน(Volkswagen) และ จีเอ็ม(General Motors) เพื่อขายในประเทศจีน ตั้งแต่ยุคทศวรรษ 90 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยเงื่อนไขสำคัญคือ “การถ่ายทอดเทคโนโลยีให้จีนด้วย”

บริษัทรถยนต์ต่างชาติทุกค่ายที่หวังจะเข้าไปลงทุนและขายรถยนต์ในจีนภายใต้แบรนด์ของตัวเอง รัฐบาลจีนจะมีข้อกำหนดให้ทุกโรงงานต้องถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับคนจีนที่ร่วมทุนด้วย หากนับเวลาตั้งแต่เริ่มผลิตรถยนต์ครั้งแรกจนถึงวันนี้ SAIC มีประสบการณ์ในการผลิตและประกอบรถยนต์ รวมถึงวิจัยไม่ต่ำกว่า 20 ปี ซึ่งสิ่งต่างๆ ที่ได้รับการถ่ายทอดมานั้น กำลังปรากฎให้เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน ในรถยนต์ MG GS 1.5 turbo คันนี้ที่เราทดลองขับมา

ยุคใหม่ของเอ็มจี

หากจะให้นิยามรถยนต์ของเอ็มจีว่าเป็นรถสัญชาติใด คำตอบคือ อังกฤษ ด้วยเหตุผลหนึ่งประวัติศาสตร์และสองทีมผู้สร้างวิจัยพัฒนาปักหลักสร้างสรรค์ MG GS 1.5 turbo บนเกาะอังกฤษ โดยได้รับความช่วยเหลือทุกด้านจาก SAIC ไม่ว่าจะเป็นเงินทุนหรือการหาชิ้นส่วนอะไหล่ รวมไปถึงเทคโนโลยีในการสร้างรถยนต์ใหม่สักคัน นี่คือเหตุผลที่เราต้องท้าวความไปถึง SAIC เพื่อให้ทราบที่มาที่ไปว่า ทำไม MG GS 1.5 turbo จึงแตกต่างจากรถรุ่นอื่น

มาว่ากันด้วยเรื่องของสเปคของ MG GS 1.5 turbo ก่อนดีกว่า เครื่องยนต์ 1.5 ลิตรตัวนี้ พัฒนาขึ้นใหม่หมดด้วยทีมวิศวกรของเอ็มจี ไม่เกี่ยวใดๆ กับเครื่องยนต์ 1.5 ลิตรที่อยู่ในรุ่น MG5 โดยเป็นแบบ 4 สูบ เบนซินฉีดตรง(Gasoline Direct Injection) เทอร์โบ ขณะที่ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์แบบทวินคลัทช์ 7 สปีด ใครที่ติดตามเรื่องรถยนต์คงจะพอนึกออก แต่ถ้าไม่ทราบว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ถ่ายทอดมาจากไหน ย้อนขึ้นไปอ่านข้างบน

ในด้านของอุปกรณ์และเทคโนโลยีด้านความปลอดภัย มีมากกว่า 10 รายการหลักๆ หากจะให้ไล่เรียงจนครบคงหมดพื่นที่ เอาเป็นว่ามีครบเทียบเท่ารถซีดานระดับกลางค่อนข้างหรู โดยเฉพาะ ระบบช่วงล่างหน้าอิสระ แมคเฟอร์สันสตรัทและหลัง อิสระ มัลติลิงค์ รวมถึงดิสก์เบรกทั้งหน้าและหลัง ที่หาได้ยากในรถระดับราคานี้

ขับดีเกินคาด

คันที่เราขับเป็นรุ่น 1.5X ตัวท้อป ราคา 990,000 บาท ยอมรับตรงๆ ว่า ก่อนได้ทดลองขับผู้เขียนจินตนาการว่ารถคงจะอึดแน่ เครื่อง 1.5 ลิตร แบกน้ำหนักตัวรถเกือบ 1.5 ตัน แต่แล้วเมื่อได้ฟังบรรยายก่อนขับจริงตัวเลข กำลัง 167 แรงม้านั้นเทียบเท่ากับกำลังสูงสุดเครื่องยนต์ขนาด 2.4 ลิตรในรถญี่ปุ่นขนาดกลางเลยทีเดียว ประหลาดใจไม่น้อย

เส้นทางการขับเริ่มจากกรุงเทพฯ จุดหมายคือ ขอนแก่น ประเดิมด้วยการกดคันเร่งเบาๆ ตอบสนองทันใจ ไม่อืด พวงมาลัยไฟฟ้าควบคุมแม่นยำและเบามือ เมื่อเข้าสู่ช่วงถนนที่ทำความเร็วได้ การลองกำลัง 167 แรงม้าก็เริ่มขึ้น ผู้เขียนใช้โหมดขับขี่ปกติ การคิกค์ดาวทำได้ทุกย่านความเร็ว ขับสนุกผิดคาดอย่างสิ้นเชิง เครื่องยนต์สอดประสานทำงานอย่างลงตัวกับเกียร์คลัทช์คู่ ไร้ซึ่งการรอรอบหรือการกระตุกให้รู้สึก

การเปลี่ยนโหมดเกียร์เป็นแบบสปอร์ต ทำได้ง่ายเพียงผลักคันเกียร์มาที่S แล้วหน้าจอจากสีขาวจะกลายเป็นสีแดง ปุ่มแพดเดิลชิพท์ที่พวงมาลัยจะพร้อมใช้งานทันที ซ้ายคือลดเกียร์ลง ขวาคือเพิ่ม หลายครั้งที่ผู้เขียนกระแทกคันเร่งพร้อมลดเกียร์ลงต่ำ มีความรู้สึกเหมือนหลังติดเบาะนิดๆ ยากจะเชื่อว่านี่คือเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร เพราะการตอบสนองไม่ต่างจากเครื่องที่มีขนาดมากกว่า 2.0 ลิตรของค่ายอื่น

ในแง่ของการทรงตัว MG GS 1.5 turbo ทำได้ประทับใจ ระดับความเร็ว 140 กม./ชม. รถยังวิ่งนิ่งๆ ไม่รู้สึกว่าเร็วหรือโคลงแต่อย่างใด การเก็บเสียงลมประทะในห้องโดยสารก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน ค่อนข้างเงียบ จะมีบ้างในส่วนของเสียงยางบดกับพื้นถนนดังรบกวนเมื่อวิ่งผ่านช่วงถนนขรุขระ

เมื่อถนนโล่ง ดูแล้วปลอดภัย เราพบว่าความเร็วสูงสุดที่ทำได้คือ 190 กม./ชม. เท่ากับที่เอ็มจีได้เคลมเอาไว้ ส่วนอัตราการบริโภคน้ำมันเคลมไว้ที่ราว 15 กม./ลิตร แต่จากค่าฉลี่ยในการทดลองขับของรถในขบวนทั้ง 8 คัน MG GS 1.5 turbo มีตัวเลขน่าประทับใจที่ราว 17 กม./ลิตร (วัดด้วยการกำหนดระยะทางวิ่ง 110 กม.และเติมน้ำมันจนเต็ม วิ่งด้วยความเร็วประมาณ 80-100 กม./ชม. มีครบทั้งไฟแดง ด่านตำรวจ ทางโค้งและทางตรง)

ตลอดระยะทางราว 600 กม. ผู้เขียนได้มีโอกาสสลับไปนั่งทั้งฝั่งผู้โดยสารตอนหน้าและหลัง ซึ่งการนั่งด้านหลังรู้สึกถึงแรงสะเทือนและเสียงยางมากกว่าด้านหน้า แต่ตรงข้ามกับผู้ร่วมทริปบางท่านที่บอกว่า นั่งด้านหน้าแล้วสะเทือนมากกว่าด้านหลัง เราจึงไม่อาจหาข้อสรุปในประเด็นนี้ได้

นอกจากนั้นเราได้ลองใช้งานระบบเนวิเกเตอร์ ใช้งานง่ายผ่านหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว ที่สามารถคอนโทรลระบบ อินคาเนตให้รถสามารถเชื่อมต่อกับเจ้าของได้ตลอดเวลา โดยเอ็มจีจะซับพอร์ตค่าใช้จ่ายในการเชื่อต่อเครือข่ายเป็นระยะเวลา 5 ปี ผ่านทางทรูมูฟในฐานะผู้ให้บริการโครงข่ายสัญญาณ และรถเอ็มจี ทุกคันที่ขายในเมืองไทยขณะนี้ "ประกอบในประเทศไทย" ดังนั้นจึงมั่นใจได้ในแง่ของการผลิต รวมถึงอะไหล่ที่จะมีสำรองไปอีกนาน ไม่ใช่หยุดทำตลาดไปเฉยๆเหมือนแบรนด์อื่นๆ ในอดีต

เหมาะกับใคร

เอ็มจีวางเป้าหมายเจาะกลุ่มลูกค้าผู้หญิงวัยทำงาน ส่วนเรามองว่า MG GS 1.5 turbo คือ นิยามของความคุ้มค่า ด้วยค่าตัวไม่ถึงล้านแต่ได้เครื่องยนต์บวกเกียร์เทพ ช่วงล่างไม่ต่างจากรถหรู พร้อมลูกเล่นและอุปกรณ์มากมายรวมถึง ซันรูฟ ที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่เจอในรถระดับราคาต่ำกว่าล้าน ดังนั้น อย่าเพิ่งเชื่อ จงไปลองขับแล้วคุณจะรู้ว่าทำไมเราถึงบอกว่า "คือมันใช่ ครบคุ้มค่า"













รุ่นMG GS 1.5 Turbo
เครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว ไดเรคอินเจคชั่น
ขนาดความจุ1.5 ลิตร
กำลังสูงสุด167 แรงม้าที่ 5,600 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด250 นิวตันเมตรที่ 1,700-4,400 รอบ/นาที
เกียร์อัตโนมัติ TST Twin Clutch Sportronic 7 สปีด
ระบบกันสะเทือนหน้าแบบ อิสระแมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง
 หลังแบบ อิสระมัลติลิงค์ พร้อมเหล็กกันโคลง
ระบบเบรกดิสก์เบรก 4 ล้อพร้อม Ceramic Compound Brake Pads
การรับประกัน4 ปีหรือระยะทาง 120,000 กม.
ราคารุ่น 1.5D 890,000บาท
รุ่น 1.5X 990,000 บาท