นิชคาร์ กรุ๊ป จำกัด เปิดตัว แลมโบกินี่ อเวนทาดอร์ S ซุปเปอร์คาร์ตัวใหม่ล่าสุด ก่อนงาน เจนีวา มอเตอร์โชว์ มาพร้อมเครื่องยนต์ 12 สูบวางกลาง ระบบ N/A รุ่นเดียวในโลกที่ไร้คู่แข่ง บวกกับการออกแบบรูปลักษณ์ภายในและช่วงล่างใหม่ สนนราคา 38.7 ล้านบาท และมีเศรษฐีไทยจองไปแล้ว 7 คัน

วิทวัส ชินบารมี กรรมการผู้จัดการ บริษัท นิชคาร์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า "เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นหนึ่งในประเทศต้นๆที่ได้นำ แลมโบกินี่ อเวนทาดอร์ S ซึ่งเป็นรุ่นล่าสุดที่แรงและเร็วที่สุดของ แลมโบร์กินี มาให้ลูกค้าได้สัมผัสก่อนใครในงาน The Private Preview of Aventador S - Dare Your EGO ในครั้งนี้ ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่ งาน Geneva Motor Show 2017 ซึ่ง แลมโบกินี่ อเวนทาดอร์ S นั้นเป็นเสมือนรุ่นไฮไลท์ของ แลมโบกินี่ โดยรุ่น อเวนทาดอร์ S นั้นได้ถูกผลิตมาแล้วถึง 5 รุ่นและอีก 2 รุ่นพิเศษ ซึ่งได้รับกระแสตอบรับอย่างดีจากทั่วโลก และแน่นอนว่าในตลาดของเมืองไทยก็เช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นรุ่นที่แฟนพันธุ์แท้ของ อเวนทาดอร์ ต่างรอคอย"
"นิชคาร์เปิดราคารุ่น แลมโบกินี่ อเวนทาดอร์ S อยู่ที่ 38.7 ล้านบาท ซึ่งหมายถึงลูกค้าจะได้ครอบครองรถที่มีสมรรถนะเทียบเท่ากับไฮเปอร์คาร์ในราคาซุปเปอร์คาร์ ทั้งนี้ โควต้าของรุ่น อเวนทาดอร์ S สำหรับเมืองไทยมีจำนวนจำกัดเพียง 7 คัน สำหรับปีนี้ ซึ่งได้ถูกจองหมดเรียบร้อยแล้ว สาวกแลมโบร์กินี จึงไม่ควรที่จะพลาดสำหรับรุ่นนี้ และผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่านิชคาร์จะประสบความสำเร็จอย่างสูงในการส่งมอบแลมโบร์กินีให้กับแฟนๆในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเรายังยึดมั่นในการมอบบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของเราต่อไป โดยช่างผู้มีประสบการณ์ และเครื่องมือ diagnostic สำหรับดูแล เพื่อเป็นการพัฒนาการขายและการบริการของนิชคาร์กรุ๊ป ให้เทียบเท่ามาตรฐานของ Lamborghini Automobili S.p.A. ต่อไป”

นี่คือเจนเนอเรชั่นใหม่ของ อเวนทาดอร์ และยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาที่โดดเด่นของเราในตลาดซูเปอร์คาร์ในแง่ของการนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ และสมรรถนะในการขับขี่ อเวนทาดอร์ S มาพร้อมกับงานออกแบบที่แสดงให้เห็นถึงความล้ำหน้า การใช้เทคโนโลยีในระดับสูง และพลวัตรในการขับขี่ ซึ่งทั้งหมดได้ถูกผสมผสานกันอย่างลงตัว และเป็นการยกระดับคอนเซ็ปต์ของซูเปอร์คาร์ให้ก้าวขึ้นสู่อีกขั้น
การออกแบบ อเวนทาดอร์ S เริ่มจากตัวถังด้านหน้ามีความดุดันมากขึ้น และมีการติดตั้งแผ่นรีดอากาศที่มีขนาดใหญ่ขึ้นซึ่งจะช่วยในเรื่องการควบคุมทิศทางการไหลของลม ทางด้านท้ายของอเวนทาดอร์ S มีความโดดเด่นด้วยชุดรีดอากาศ Diffuser ที่มีสีดำขนาดใหญ่ และผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ พร้อมรูปทรงที่มีเอกลักษณ์ ซึ่งประกอบไปด้วยครีบที่วางตัวในแนวตั้งหลายชิ้น ,สปอยเลอร์ด้านหลังสามารถปรับได้ 3 ระดับ ขึ้นอยู่กับความเร็วที่ใช้และโหมดการขับขี่ที่ถูกเลือก

บวกกับ 4 เทคโนโลยีระดับเยี่ยมเพื่อสุนทรีย์ในการขับขี่ที่แท้จริง อย่าง ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ, ระบบช่วงล่างแบบปรับระดับได้, ระบบเลี้ยว 4 ล้อ และโหมดการขับแบบใหม่ EGO Driving Mode ขณะที่เครื่องยนต์เป็นแบบ 12 สูบ 6.5 ลิตรที่ติดตั้งใน แลมโบกินี่ อเวนทาดอร์ S เป็นแบบไม่พึ่งระบบอัดอากาศ และได้รับการปรับปรุงให้มีกำลังเพิ่มขึ้นอีก 40 แรงม้าจากรุ่นเดิม จนสามารถทำกำลังได้ถึง 740 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 690 นิวตันเมตร ที่ 5,500 รอบ/นาที อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใช้เวลาเพียงแค่ 2.9 วินาที และสามารถทำความเร็วสูงสุดถึง 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระบบส่งกำลังเป็นแบบ ISR- Independent Shifting Rod แบบ 7 จังหวะซึ่งชุดเกียร์มีน้ำหนักเบา และมีการเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติที่ฉับไวเพียง 0.05 วินาทีเท่านั้น
อเวนทาดอร์ S ได้รับการติดตั้งชุดท่อไอเสียใหม่ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาจากการทำงานอันโดดเด่นของศูนย์วิจัยและพัฒนา ชุดท่อจึงมีน้ำหนักเบากว่าที่ติดตั้งในรุ่นเดิมถึง 20% และผ่านการทดสอบหลากหลายขั้นตอน และให้ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจในด้านการตอบสนองของเสียงคำรามอันเป็นเอกลักษณ์ของ Lamborghini ที่มาจากเครื่องยนต์วี12 ซึ่งไม่อาศัยระบบอัดอากาศ โดยจะมีการใช้ชุดปลายท่อไอเสียแบบรวมเป็นชุดเดียวกันแต่มี 3 ปลายท่อ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการจัดวางรูปแบบใหม่ของชุดปลายท่อไอเสียของ Lamborghini
ภายในห้องโดยสารของ Aventador S มาพร้อมกับฟังก์ชั่นใหม่ๆ และการตกแต่งที่ประณีต ผู้ขับขี่สามารถปรับแต่งการแสดงผลบนหน้าจอแบบ TFT ได้ตามความต้องการ และมาพร้อมกับหน้าจอย่อยที่ผู้ขับสามารถเลือกโหมดการขับ STRADA, SPORT และ CORSA รวมไปถึงการทำงานแบบ EGO Mode หลังจากเลือกโหมดการขับขี่ที่ต้องการในแผงควบคุม ปุ่ม EGO ยังมีออพชั่นอื่นๆให้เลือกเพิ่มเติมอีก ซึ่งจะแสดงผลบนหน้าจอเล็ก ให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกและปรับแต่งได้ตามความต้องการส่วนตัว

ตัวรถมีการติดตั้งระบบปฏิบัติการ AppleCarPlay เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน สำหรับเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนตัวจากแบรนด์ Apple ของผู้ขับขี่ เพื่อสัมผัสความบันเทิงตลอดการเดินทาง อีกทั้งเพิ่มความสะดวกสบายด้วยระบบการสั่งงานด้วยเสียง
สิ่งที่เป็นอุปกรณ์เลือกติดตั้งพิเศษคือ ระบบส่งข้อมูลการขับเข้ามาเก็บในตัวรถ หรือ Telemetry System ซึ่งระบบนี้ ผู้ขับขี่ที่นำรถลงขับในแทร็คสามารถรับทราบข้อมูลการขับ เช่น เวลาต่อรอบ และสมรรถนะของตัวรถในการขับ ณ รอบนั้น เช่นเดียวกับข้อมูลการขับในด้านต่างๆ
ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อเพิ่มความพิเศษและสอดคล้องกับรสนิยมของผู้ขับขี่แต่ละคน Aventador S ยังมีบริการการตกแต่งภายในรถแบบ customization ตามความชอบส่วนตัว ที่สามารถตอบสนองทุกความต้องการผ่าน Lamborghini's Ad Personam Customization Program

สมรรถนะ
ความเร็วสูงสุด : 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง (217 ไมล์/ชั่วโมง)
อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง : 2.9 วินาที
อัตราเร่ง 0-200 กิโลเมตร/ชั่วโมง : 8.8 วินาที
อัตราเร่ง 0-300 กิโลเมตร/ชั่วโมง : 24.2 วินาที
ระยะเบรกจาก 100-0 กิโลเมตร/ชั่วโมง : 31 เมตร
มิติตัวถังและน้ำหนัก
ระยะฐานล้อ : 2,700 มิลลิเมตร (106.29 นิ้ว)
ความยาว : 4,797 มิลลิเมตร (188.86 นิ้ว)
ความกว้าง (ไม่รวมกระจก) : 2,030 มิลลิเมตร (79.92 นิ้ว)
ความสูง : 1,136 มิลลิเมตร (44.72 นิ้ว)
ความกว้างช่วงล้อ (หน้า-หลัง) : 1,720 มิลลิเมตร (67.71 นิ้ว) - 1,680 มิลลิเมตร (66.14 นิ้ว)
ความสูงใต้ท้องรถ (ปกติ-ยกสูง) : 115 ± 2 มิลลิเมตร (ด้านหน้ายกขึ้น 155 มิลลิเมตร)
น้ำหนักรถเปล่า : 1,575 กิโลกรัม (3,472 ปอนด์)
อัตราส่วนการกระจายน้ำหนักด้านหน้า-หลัง : 43-57%

ความจุ
ถังน้ำมัน : 85 ลิตร
น้ำมันเครื่อง : 13 ลิตร
น้ำหล่อเย็นในระบบระบายความร้อนเครื่องยนต์ : 25 ลิตร
ความจุของพื้นที่เก็บสัมภาระ : 140 ลิตร
อัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
ในเมือง : 26.2 ลิตร/100 กิโลเมตร
นอกเมือง : 11.6 ลิตร/100 กิโลเมตร
แบบผสม : 16.9 ลิตร/100 กิโลเมตร
การคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ : 394 กรัมต่อ 1 กิโลเมตร
หมายเหตุ : ตามการทดสอบ Dir. 1999/100/CE
วิทวัส ชินบารมี กรรมการผู้จัดการ บริษัท นิชคาร์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า "เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นหนึ่งในประเทศต้นๆที่ได้นำ แลมโบกินี่ อเวนทาดอร์ S ซึ่งเป็นรุ่นล่าสุดที่แรงและเร็วที่สุดของ แลมโบร์กินี มาให้ลูกค้าได้สัมผัสก่อนใครในงาน The Private Preview of Aventador S - Dare Your EGO ในครั้งนี้ ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่ งาน Geneva Motor Show 2017 ซึ่ง แลมโบกินี่ อเวนทาดอร์ S นั้นเป็นเสมือนรุ่นไฮไลท์ของ แลมโบกินี่ โดยรุ่น อเวนทาดอร์ S นั้นได้ถูกผลิตมาแล้วถึง 5 รุ่นและอีก 2 รุ่นพิเศษ ซึ่งได้รับกระแสตอบรับอย่างดีจากทั่วโลก และแน่นอนว่าในตลาดของเมืองไทยก็เช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นรุ่นที่แฟนพันธุ์แท้ของ อเวนทาดอร์ ต่างรอคอย"
"นิชคาร์เปิดราคารุ่น แลมโบกินี่ อเวนทาดอร์ S อยู่ที่ 38.7 ล้านบาท ซึ่งหมายถึงลูกค้าจะได้ครอบครองรถที่มีสมรรถนะเทียบเท่ากับไฮเปอร์คาร์ในราคาซุปเปอร์คาร์ ทั้งนี้ โควต้าของรุ่น อเวนทาดอร์ S สำหรับเมืองไทยมีจำนวนจำกัดเพียง 7 คัน สำหรับปีนี้ ซึ่งได้ถูกจองหมดเรียบร้อยแล้ว สาวกแลมโบร์กินี จึงไม่ควรที่จะพลาดสำหรับรุ่นนี้ และผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่านิชคาร์จะประสบความสำเร็จอย่างสูงในการส่งมอบแลมโบร์กินีให้กับแฟนๆในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเรายังยึดมั่นในการมอบบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของเราต่อไป โดยช่างผู้มีประสบการณ์ และเครื่องมือ diagnostic สำหรับดูแล เพื่อเป็นการพัฒนาการขายและการบริการของนิชคาร์กรุ๊ป ให้เทียบเท่ามาตรฐานของ Lamborghini Automobili S.p.A. ต่อไป”
นี่คือเจนเนอเรชั่นใหม่ของ อเวนทาดอร์ และยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาที่โดดเด่นของเราในตลาดซูเปอร์คาร์ในแง่ของการนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ และสมรรถนะในการขับขี่ อเวนทาดอร์ S มาพร้อมกับงานออกแบบที่แสดงให้เห็นถึงความล้ำหน้า การใช้เทคโนโลยีในระดับสูง และพลวัตรในการขับขี่ ซึ่งทั้งหมดได้ถูกผสมผสานกันอย่างลงตัว และเป็นการยกระดับคอนเซ็ปต์ของซูเปอร์คาร์ให้ก้าวขึ้นสู่อีกขั้น
การออกแบบ อเวนทาดอร์ S เริ่มจากตัวถังด้านหน้ามีความดุดันมากขึ้น และมีการติดตั้งแผ่นรีดอากาศที่มีขนาดใหญ่ขึ้นซึ่งจะช่วยในเรื่องการควบคุมทิศทางการไหลของลม ทางด้านท้ายของอเวนทาดอร์ S มีความโดดเด่นด้วยชุดรีดอากาศ Diffuser ที่มีสีดำขนาดใหญ่ และผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ พร้อมรูปทรงที่มีเอกลักษณ์ ซึ่งประกอบไปด้วยครีบที่วางตัวในแนวตั้งหลายชิ้น ,สปอยเลอร์ด้านหลังสามารถปรับได้ 3 ระดับ ขึ้นอยู่กับความเร็วที่ใช้และโหมดการขับขี่ที่ถูกเลือก
บวกกับ 4 เทคโนโลยีระดับเยี่ยมเพื่อสุนทรีย์ในการขับขี่ที่แท้จริง อย่าง ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ, ระบบช่วงล่างแบบปรับระดับได้, ระบบเลี้ยว 4 ล้อ และโหมดการขับแบบใหม่ EGO Driving Mode ขณะที่เครื่องยนต์เป็นแบบ 12 สูบ 6.5 ลิตรที่ติดตั้งใน แลมโบกินี่ อเวนทาดอร์ S เป็นแบบไม่พึ่งระบบอัดอากาศ และได้รับการปรับปรุงให้มีกำลังเพิ่มขึ้นอีก 40 แรงม้าจากรุ่นเดิม จนสามารถทำกำลังได้ถึง 740 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 690 นิวตันเมตร ที่ 5,500 รอบ/นาที อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใช้เวลาเพียงแค่ 2.9 วินาที และสามารถทำความเร็วสูงสุดถึง 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระบบส่งกำลังเป็นแบบ ISR- Independent Shifting Rod แบบ 7 จังหวะซึ่งชุดเกียร์มีน้ำหนักเบา และมีการเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติที่ฉับไวเพียง 0.05 วินาทีเท่านั้น
อเวนทาดอร์ S ได้รับการติดตั้งชุดท่อไอเสียใหม่ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาจากการทำงานอันโดดเด่นของศูนย์วิจัยและพัฒนา ชุดท่อจึงมีน้ำหนักเบากว่าที่ติดตั้งในรุ่นเดิมถึง 20% และผ่านการทดสอบหลากหลายขั้นตอน และให้ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจในด้านการตอบสนองของเสียงคำรามอันเป็นเอกลักษณ์ของ Lamborghini ที่มาจากเครื่องยนต์วี12 ซึ่งไม่อาศัยระบบอัดอากาศ โดยจะมีการใช้ชุดปลายท่อไอเสียแบบรวมเป็นชุดเดียวกันแต่มี 3 ปลายท่อ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการจัดวางรูปแบบใหม่ของชุดปลายท่อไอเสียของ Lamborghini
ภายในห้องโดยสารของ Aventador S มาพร้อมกับฟังก์ชั่นใหม่ๆ และการตกแต่งที่ประณีต ผู้ขับขี่สามารถปรับแต่งการแสดงผลบนหน้าจอแบบ TFT ได้ตามความต้องการ และมาพร้อมกับหน้าจอย่อยที่ผู้ขับสามารถเลือกโหมดการขับ STRADA, SPORT และ CORSA รวมไปถึงการทำงานแบบ EGO Mode หลังจากเลือกโหมดการขับขี่ที่ต้องการในแผงควบคุม ปุ่ม EGO ยังมีออพชั่นอื่นๆให้เลือกเพิ่มเติมอีก ซึ่งจะแสดงผลบนหน้าจอเล็ก ให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกและปรับแต่งได้ตามความต้องการส่วนตัว
ตัวรถมีการติดตั้งระบบปฏิบัติการ AppleCarPlay เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน สำหรับเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนตัวจากแบรนด์ Apple ของผู้ขับขี่ เพื่อสัมผัสความบันเทิงตลอดการเดินทาง อีกทั้งเพิ่มความสะดวกสบายด้วยระบบการสั่งงานด้วยเสียง
สิ่งที่เป็นอุปกรณ์เลือกติดตั้งพิเศษคือ ระบบส่งข้อมูลการขับเข้ามาเก็บในตัวรถ หรือ Telemetry System ซึ่งระบบนี้ ผู้ขับขี่ที่นำรถลงขับในแทร็คสามารถรับทราบข้อมูลการขับ เช่น เวลาต่อรอบ และสมรรถนะของตัวรถในการขับ ณ รอบนั้น เช่นเดียวกับข้อมูลการขับในด้านต่างๆ
ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อเพิ่มความพิเศษและสอดคล้องกับรสนิยมของผู้ขับขี่แต่ละคน Aventador S ยังมีบริการการตกแต่งภายในรถแบบ customization ตามความชอบส่วนตัว ที่สามารถตอบสนองทุกความต้องการผ่าน Lamborghini's Ad Personam Customization Program
สมรรถนะ
ความเร็วสูงสุด : 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง (217 ไมล์/ชั่วโมง)
อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง : 2.9 วินาที
อัตราเร่ง 0-200 กิโลเมตร/ชั่วโมง : 8.8 วินาที
อัตราเร่ง 0-300 กิโลเมตร/ชั่วโมง : 24.2 วินาที
ระยะเบรกจาก 100-0 กิโลเมตร/ชั่วโมง : 31 เมตร
มิติตัวถังและน้ำหนัก
ระยะฐานล้อ : 2,700 มิลลิเมตร (106.29 นิ้ว)
ความยาว : 4,797 มิลลิเมตร (188.86 นิ้ว)
ความกว้าง (ไม่รวมกระจก) : 2,030 มิลลิเมตร (79.92 นิ้ว)
ความสูง : 1,136 มิลลิเมตร (44.72 นิ้ว)
ความกว้างช่วงล้อ (หน้า-หลัง) : 1,720 มิลลิเมตร (67.71 นิ้ว) - 1,680 มิลลิเมตร (66.14 นิ้ว)
ความสูงใต้ท้องรถ (ปกติ-ยกสูง) : 115 ± 2 มิลลิเมตร (ด้านหน้ายกขึ้น 155 มิลลิเมตร)
น้ำหนักรถเปล่า : 1,575 กิโลกรัม (3,472 ปอนด์)
อัตราส่วนการกระจายน้ำหนักด้านหน้า-หลัง : 43-57%
ความจุ
ถังน้ำมัน : 85 ลิตร
น้ำมันเครื่อง : 13 ลิตร
น้ำหล่อเย็นในระบบระบายความร้อนเครื่องยนต์ : 25 ลิตร
ความจุของพื้นที่เก็บสัมภาระ : 140 ลิตร
อัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
ในเมือง : 26.2 ลิตร/100 กิโลเมตร
นอกเมือง : 11.6 ลิตร/100 กิโลเมตร
แบบผสม : 16.9 ลิตร/100 กิโลเมตร
การคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ : 394 กรัมต่อ 1 กิโลเมตร
หมายเหตุ : ตามการทดสอบ Dir. 1999/100/CE