หลังจากโตโยต้าได้ทำการไมเนอร์เชนจ์ “โคโรลล่า อัลติส”ไปเมื่อปีที่แล้ว ต้นปีนี้ก็ได้ฤกษ์ให้สื่อมวลชนได้ทดลองขับตัวใหม่กันเลย โดยรุ่นนี้ถือเป็นเจเนอเรชั่นที่ 11 และตลอดระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมา อัลติส มียอดขายสะสมมากกว่า 754,000 คัน ที่สำคัญยังเป็นรุ่นรถที่ขายดีที่สุดในโลกของโตโยต้าอีกด้วย
ดังนั้นการปรับโฉมครั้งนี้จึงไม่ธรรมดาเนื่องจากพัฒนาภายใต้ 4 แนวทางหลัก คือการออกแบบที่ทันสมัย, สมรรถนะการขับขี่ทีดี, ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย และความสะดวกสบายแบบครบครัน โดยมีทั้งหมด 7 รุ่น และได้มีการยกเลิกรุ่นรองท็อป 1.8 G แทนที่ด้วยรุ่น ESPORT OPTION สนองความต้องการของลูกค้าที่ชอบแนวสปอร์ต โฉบเฉี่ยว ดุดัน เร้าใจขึ้น
สำหรับสิ่งที่ปรับเปลี่ยนไปในรุ่นมาตรฐานคือ เปลี่ยนกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ รับกับไฟหน้าแบบ Bi-Beam LED Projector ปรับระดับและเปิด-ปิด อัตโนมัติ , ไฟส่องสว่างกลางวันแบบ LED Daytime Running Lights, ไฟตัดหมอกหน้า ,ไฟท้าย LED แบบ Light Guiding, มือจับประตูด้านนอกแบบ Grip-Type พร้อมแถบโครเมียม ,ล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว, ระบบเปิดประตูอัจฉริยะ (Smart Entry) สามารถเปิดฝากระโปรงได้โดยไม่ต้องกดปุ่มรีโมต
ส่วนรุ่น ESPORT OPTION เสริมชุดแต่งรอบคัน ทั้งสปอยเลอร์หน้า-หลัง และสเกิร์ตรอบคัน พร้อมไฟเบรกบนฝากระโปรงท้าย ,ปลายท่อไอเสียโครเมียม, ล้อแมกซ์ขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง 215/45/17 โดยรวมแล้วดูโฉบเฉี่ยวและทันสมัยกว่าเดิม แผงปิดใต้ท้องรถ พร้อมครีบแหวกม่านอากาศ
ภายในมีการปรับเยอะเหมือนกันโดยเฉพาะอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ไม่ว่าจะเป็น พวงมาลัยปรับระดับได้ 4 ทิศทาง, ปุ่มควบคุมจอแสดงผลการขับขี่แบบสี Cruise Control , Bluetooth เชื่อมต่อโทรศัพท์ที่เข้ากับระบบ Hand -Free ในรถ สามารถควบคุมผ่านจอ LCD และโทรออกด้วยเสียง พร้อมปุ่มรับ-วางสายที่พวงมาลัย ,ช่องแอร์ทรงกลม ,มาตรวัดเรืองแสง Optitron พร้อม Meter WOW ทันทีที่กดปุ่ม Push Start ขณะที่ความบันเทิงมาเต็ม เครื่องเล่น DVD / CD/ MP3 /WMA หน้าจอระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth และลำโพง 6 จุด ,ระบบนำทาง Navigator รองรับ T-CONNECT,ระบบกรองอากาศนาโนอี ,เบาะนั่งคู่หน้าปรับด้วยระบบไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมปุ่มปรับดันหลังไฟฟ้า ,เบาะนั่งด้านหลังแยกพับได้แบบ 60:40 ,ช่องต่อ USB 3 จุด สำหรับผู้โดยสานตอนหน้า 1 จุด และตอนหลัง 2 จุด,ช่องเก็บของมีเพียบทั้งด้านหน้า-หลัง,ม่านบังแดดด้านผู้โดยสารตอนหลัง,กระจกบังลมหน้าแบบกันเสียงรบกวน,ระบบควบคุมการปัดน้ำฝนอัตโนมัติ,กระจกไฟฟ้าพร้อมระบบ Jam-Protection ด้านคนขับ เลื่อนลงอัตโนมัติเมื่อมีสิ่งกีดขวาง
ส่วนภายในของตัว ESPORT OPTION จะเหมือนกับรุ่นมาตรฐานแต่จะมีเพิ่มตรงพวงมาลัยหุ้มหนัง พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียง , สวิตช์การขับขี่แบบสปอร์ต, เบาะหนังคู่หน้าสไตล์รถแข่ง,แป้นเปลี่ยนเกียร์ (Paddle Shift) ,กล้องมองหลัง ซึ่งจะแสดงผ่านจอ LCD เมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง
นอกจากนี้ช่วงล่างอัลติส ยังมีการปรับปรุงพัฒนาใหม่ เพิ่มความนุ่มนวลและมั่นคงมากขึ้น ด้วยการปรับโช้กอัพหน้าและหลัง ส่วนรุ่น ESPORT มีการเพิ่มเติมในส่วนของสปริง เพื่อให้รับหน้ายางที่กว้างขึ้นและแก้มยางที่เตี้ยลง ซึ่งจะทำให้มั่นใจในทุกสภาพถนนระหว่างการขับขี่
จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของ อัลติส รุ่นปรับโฉมคือ เรื่องความปลอดภัยที่ใส่มาให้แบบเต็ม ๆ ไม่ว่าจะเป็นถุงลมนิรภัย7 ตำแหน่ง ทุกรุ่น ไม่ว่าจะเป็นถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง ม่านด้านข้าง หัวเข่าด้านคนขับ และด้านข้างเบาะหลัง นอกจากนี้ยังมีระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC ป้องกันรถไหลขณะออกตัวบนทางลาดชัน , กระจกมองข้างพร้อมระบบ Auto Reverse Link สามารถปรับตั้งค่าองศาได้โดยจะปรับระดับอัตโนมัติเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง
เครื่องยนต์ มากับรหัส 2ZR-FBE เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Dual VVT-i ความจุ 1.8 ลิตร กำลังสูงสุด 141 แรงม้า ที่6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 177 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที รองรับ E85 ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT 7 จังหวะ Super CVT-i เพิ่ม Sport Mode พร้อมสวิตช์เปิด-ปิด เพิ่มการตอบอัตราเร่งให้รวดเร็วทันใจยิ่งขึ้น
การทดสอบเริ่มขับจากบางนามุ่งหน้าชะอำ สิ่งแรกที่เข้าไปนั่งสัมผัสได้ถึงความทันสมัยของวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่อยู่ในรถ เบาะนั่งสบาย โดยเฉพาะมีระบบไฟฟ้าให้ปรับไม่ต้องใช้มือโยก ๆ รู้สึกดี ภายในกว้างขวางพอสมควร อุปกรณ์อำนวยความสะดวกมาครบ ชอบก็ตรงช่องต่อ USB มีให้ถึง3 จุด ไม่ต้องสลับกันใช้กับเพื่อนร่วมทาง
หลังจากมานั่งตำแหน่งคนขับ รู้สึกได้เลยว่าอัตราเร่งช่วงต้นทำได้ดีกว่าที่คาดไว้ รวดเร็วทันใจ เวลาออกตัว พวงมาลัยให้น้ำหนักการควบคุมกำลังดี คม ส่วนการเร่งแซงหรือต้องใช้ความเร็วสูงสามารถเรียกพลังได้ค่อนข้างทันใจ ขับแล้วมั่นใจบวกกับเกียร์อัตโนมัติ CVT ทำได้อย่างนุ่มนวลและราบรื่นต่อเนื่อง ขับแล้วสนุก
ยิ่งช่วงล่างมีการปรับเซ็ทใหม่ ทำให้มั่นใจยิ่งขึ้นเพราะมันหนึบ กระชับ ลงตัว ไม่แข็งกระด้าง หรือยวบยาบ เกินไป ขณะที่เบรกก็ตอบสนองการใช้งานได้ทันใจ เพราะเป็นระบบเบรกแบบดิสก์เบรก 4 ล้อ ที่มากับตัวช่วยทั้ง ABS, EBD, และ BA บวกกับเสียงข้างนอกก็ไม่ดังเข้ามาให้รำคาญใจมากนัก ทั้งนี้เป็นเพราะโตโยต้าเพิ่มวัสดุซับเสียงไว้หลายจุด เลยช่วยในเรื่องของเสียงเข้ามาในห้องโดยสารได้ดีพอสมควร
ถึงบรรทัดนี้บอกเลยว่าอัลติส ใหม่ หลังมีการปรับจูนสมรรถนะให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น ส่งให้ รถขับดีกว่ารุ่นเดิม สนุก มั่นใจ ออปชันภายในก็มีมาให้แบบพอเพียงต่อการใช้งาน แถมยังสามารถเติม E85 ได้ด้วย บวกกับเป็นรถตลาดที่ซื้อง่าย ขายคล่อง อัลติส ไมเนอร์เชนจ์ ก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย สำหรับผู้บริโภคที่ต้องการรถในเซกเมนต์นี้
ราคาค่าตัวเริ่มจาก ในรุ่นต่ำสุดของ 1.8 อยู่ที่ 874,000 -รุ่นท็อป 1,079,00 บาท ส่วนรุ่น ESPORT OPTION ราคา 979,000 บาท
ดังนั้นการปรับโฉมครั้งนี้จึงไม่ธรรมดาเนื่องจากพัฒนาภายใต้ 4 แนวทางหลัก คือการออกแบบที่ทันสมัย, สมรรถนะการขับขี่ทีดี, ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย และความสะดวกสบายแบบครบครัน โดยมีทั้งหมด 7 รุ่น และได้มีการยกเลิกรุ่นรองท็อป 1.8 G แทนที่ด้วยรุ่น ESPORT OPTION สนองความต้องการของลูกค้าที่ชอบแนวสปอร์ต โฉบเฉี่ยว ดุดัน เร้าใจขึ้น
สำหรับสิ่งที่ปรับเปลี่ยนไปในรุ่นมาตรฐานคือ เปลี่ยนกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ รับกับไฟหน้าแบบ Bi-Beam LED Projector ปรับระดับและเปิด-ปิด อัตโนมัติ , ไฟส่องสว่างกลางวันแบบ LED Daytime Running Lights, ไฟตัดหมอกหน้า ,ไฟท้าย LED แบบ Light Guiding, มือจับประตูด้านนอกแบบ Grip-Type พร้อมแถบโครเมียม ,ล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว, ระบบเปิดประตูอัจฉริยะ (Smart Entry) สามารถเปิดฝากระโปรงได้โดยไม่ต้องกดปุ่มรีโมต
ส่วนรุ่น ESPORT OPTION เสริมชุดแต่งรอบคัน ทั้งสปอยเลอร์หน้า-หลัง และสเกิร์ตรอบคัน พร้อมไฟเบรกบนฝากระโปรงท้าย ,ปลายท่อไอเสียโครเมียม, ล้อแมกซ์ขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง 215/45/17 โดยรวมแล้วดูโฉบเฉี่ยวและทันสมัยกว่าเดิม แผงปิดใต้ท้องรถ พร้อมครีบแหวกม่านอากาศ
ภายในมีการปรับเยอะเหมือนกันโดยเฉพาะอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ไม่ว่าจะเป็น พวงมาลัยปรับระดับได้ 4 ทิศทาง, ปุ่มควบคุมจอแสดงผลการขับขี่แบบสี Cruise Control , Bluetooth เชื่อมต่อโทรศัพท์ที่เข้ากับระบบ Hand -Free ในรถ สามารถควบคุมผ่านจอ LCD และโทรออกด้วยเสียง พร้อมปุ่มรับ-วางสายที่พวงมาลัย ,ช่องแอร์ทรงกลม ,มาตรวัดเรืองแสง Optitron พร้อม Meter WOW ทันทีที่กดปุ่ม Push Start ขณะที่ความบันเทิงมาเต็ม เครื่องเล่น DVD / CD/ MP3 /WMA หน้าจอระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth และลำโพง 6 จุด ,ระบบนำทาง Navigator รองรับ T-CONNECT,ระบบกรองอากาศนาโนอี ,เบาะนั่งคู่หน้าปรับด้วยระบบไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมปุ่มปรับดันหลังไฟฟ้า ,เบาะนั่งด้านหลังแยกพับได้แบบ 60:40 ,ช่องต่อ USB 3 จุด สำหรับผู้โดยสานตอนหน้า 1 จุด และตอนหลัง 2 จุด,ช่องเก็บของมีเพียบทั้งด้านหน้า-หลัง,ม่านบังแดดด้านผู้โดยสารตอนหลัง,กระจกบังลมหน้าแบบกันเสียงรบกวน,ระบบควบคุมการปัดน้ำฝนอัตโนมัติ,กระจกไฟฟ้าพร้อมระบบ Jam-Protection ด้านคนขับ เลื่อนลงอัตโนมัติเมื่อมีสิ่งกีดขวาง
ส่วนภายในของตัว ESPORT OPTION จะเหมือนกับรุ่นมาตรฐานแต่จะมีเพิ่มตรงพวงมาลัยหุ้มหนัง พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียง , สวิตช์การขับขี่แบบสปอร์ต, เบาะหนังคู่หน้าสไตล์รถแข่ง,แป้นเปลี่ยนเกียร์ (Paddle Shift) ,กล้องมองหลัง ซึ่งจะแสดงผ่านจอ LCD เมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง
นอกจากนี้ช่วงล่างอัลติส ยังมีการปรับปรุงพัฒนาใหม่ เพิ่มความนุ่มนวลและมั่นคงมากขึ้น ด้วยการปรับโช้กอัพหน้าและหลัง ส่วนรุ่น ESPORT มีการเพิ่มเติมในส่วนของสปริง เพื่อให้รับหน้ายางที่กว้างขึ้นและแก้มยางที่เตี้ยลง ซึ่งจะทำให้มั่นใจในทุกสภาพถนนระหว่างการขับขี่
จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของ อัลติส รุ่นปรับโฉมคือ เรื่องความปลอดภัยที่ใส่มาให้แบบเต็ม ๆ ไม่ว่าจะเป็นถุงลมนิรภัย7 ตำแหน่ง ทุกรุ่น ไม่ว่าจะเป็นถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง ม่านด้านข้าง หัวเข่าด้านคนขับ และด้านข้างเบาะหลัง นอกจากนี้ยังมีระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC ป้องกันรถไหลขณะออกตัวบนทางลาดชัน , กระจกมองข้างพร้อมระบบ Auto Reverse Link สามารถปรับตั้งค่าองศาได้โดยจะปรับระดับอัตโนมัติเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง
เครื่องยนต์ มากับรหัส 2ZR-FBE เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Dual VVT-i ความจุ 1.8 ลิตร กำลังสูงสุด 141 แรงม้า ที่6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 177 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที รองรับ E85 ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT 7 จังหวะ Super CVT-i เพิ่ม Sport Mode พร้อมสวิตช์เปิด-ปิด เพิ่มการตอบอัตราเร่งให้รวดเร็วทันใจยิ่งขึ้น
การทดสอบเริ่มขับจากบางนามุ่งหน้าชะอำ สิ่งแรกที่เข้าไปนั่งสัมผัสได้ถึงความทันสมัยของวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่อยู่ในรถ เบาะนั่งสบาย โดยเฉพาะมีระบบไฟฟ้าให้ปรับไม่ต้องใช้มือโยก ๆ รู้สึกดี ภายในกว้างขวางพอสมควร อุปกรณ์อำนวยความสะดวกมาครบ ชอบก็ตรงช่องต่อ USB มีให้ถึง3 จุด ไม่ต้องสลับกันใช้กับเพื่อนร่วมทาง
หลังจากมานั่งตำแหน่งคนขับ รู้สึกได้เลยว่าอัตราเร่งช่วงต้นทำได้ดีกว่าที่คาดไว้ รวดเร็วทันใจ เวลาออกตัว พวงมาลัยให้น้ำหนักการควบคุมกำลังดี คม ส่วนการเร่งแซงหรือต้องใช้ความเร็วสูงสามารถเรียกพลังได้ค่อนข้างทันใจ ขับแล้วมั่นใจบวกกับเกียร์อัตโนมัติ CVT ทำได้อย่างนุ่มนวลและราบรื่นต่อเนื่อง ขับแล้วสนุก
ยิ่งช่วงล่างมีการปรับเซ็ทใหม่ ทำให้มั่นใจยิ่งขึ้นเพราะมันหนึบ กระชับ ลงตัว ไม่แข็งกระด้าง หรือยวบยาบ เกินไป ขณะที่เบรกก็ตอบสนองการใช้งานได้ทันใจ เพราะเป็นระบบเบรกแบบดิสก์เบรก 4 ล้อ ที่มากับตัวช่วยทั้ง ABS, EBD, และ BA บวกกับเสียงข้างนอกก็ไม่ดังเข้ามาให้รำคาญใจมากนัก ทั้งนี้เป็นเพราะโตโยต้าเพิ่มวัสดุซับเสียงไว้หลายจุด เลยช่วยในเรื่องของเสียงเข้ามาในห้องโดยสารได้ดีพอสมควร
ถึงบรรทัดนี้บอกเลยว่าอัลติส ใหม่ หลังมีการปรับจูนสมรรถนะให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น ส่งให้ รถขับดีกว่ารุ่นเดิม สนุก มั่นใจ ออปชันภายในก็มีมาให้แบบพอเพียงต่อการใช้งาน แถมยังสามารถเติม E85 ได้ด้วย บวกกับเป็นรถตลาดที่ซื้อง่าย ขายคล่อง อัลติส ไมเนอร์เชนจ์ ก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย สำหรับผู้บริโภคที่ต้องการรถในเซกเมนต์นี้
ราคาค่าตัวเริ่มจาก ในรุ่นต่ำสุดของ 1.8 อยู่ที่ 874,000 -รุ่นท็อป 1,079,00 บาท ส่วนรุ่น ESPORT OPTION ราคา 979,000 บาท