พิภัช ประจันเขตต์ ปลัดจังหวัดน่าน พร้อมด้วย นินนาท ไชยธีรภิญโญ รองประธานกรรมการ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ กฤษณะ วัชรเทศ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 1 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร นำคณะอาสาสมัครปลูกป่า กว่า 800 คน ร่วมกิจกรรมปลูกป่านิเวศภูเขาพื้นที่ต้นน้ำ ภายใต้โครงการรักษ์ป่าน่าน

กิจกรรมปลูกป่านิเวศภูเขาพื้นที่ต้นน้ำ (Watershed Area) ในครั้งนี้ เกิดขึ้นเพื่อสนองพระราชดำริ ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงเล็งเห็นถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ป่าเขาในจังหวัดน่านที่เป็นพื้นที่สำคัญ ทรงมีพระราชดำริให้ดำเนินโครงการ “รักษ์ป่าน่าน” โดยเริ่มต้นดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 จนถึงปัจจุบัน

โตโยต้า และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงได้ร่วมมือกันในการนำความรู้มาประยุกต์ใช้กับการปลูกป่าในครั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับการปลูกต้นไม้ในพื้นที่สูง ภายใต้ชื่อ CU - TOYOTA Reforestation Model

ทางโตโยต้า ดำเนินงานเพื่ออนุรักษ์และรักษาสิ่งแวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงการสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมแก่สังคมไทยผ่านกิจกรรมต่างๆ ภายใต้โครงการ “โตโยต้าเมืองสีเขียว” โดยหนึ่งในกิจกรรมภายใต้โครงการ คือ กิจกรรมปลูกป่านิเวศ ที่โตโยต้าได้ดำเนินตามแนวคิด “การปลูกป่านิเวศอย่างยั่งยืน” และ เทคนิควิธีการปลูกป่าตามแนวคิดของ อาคิระ มิยาวากิ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ มหาวิทยาลัยแห่งชาติโยโกฮาม่า และผู้อำนวยการสถาบันการเรียนรู้ด้านนิเวศวิทยานานาชาติประจำประเทศญี่ปุ่น ซึ่งทฤษฎีนี้ช่วยร่นระยะเวลาการเจริญเติบโตของป่านิเวศให้เร็วขึ้นนับสิบเท่าจากวิวัฒนาการตามธรรมชาติ ส่งผลให้ประสบความสำเร็จในการสร้างผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์


จนถึงปัจจุบัน บริษัท โตโยต้าฯ ได้ดำเนินกิจกรรมการปลูกป่านิเวศไปแล้วทั้งสิ้นกว่า 1,200,000 ต้น มีอัตราการรอดตายของต้นกล้าสูงถึงร้อยละ 90 ซึ่งผืนป่าเหล่านี้นอกจากจะช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศได้ราว 9,600 ตัน ต่อปี ยังถือเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญ ในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้กลายเป็นเมืองสีเขียวอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต

กิจกรรมปลูกป่านิเวศภูเขาพื้นที่ต้นน้ำ (Watershed Area) ในครั้งนี้ เกิดขึ้นเพื่อสนองพระราชดำริ ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงเล็งเห็นถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ป่าเขาในจังหวัดน่านที่เป็นพื้นที่สำคัญ ทรงมีพระราชดำริให้ดำเนินโครงการ “รักษ์ป่าน่าน” โดยเริ่มต้นดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 จนถึงปัจจุบัน
โตโยต้า และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงได้ร่วมมือกันในการนำความรู้มาประยุกต์ใช้กับการปลูกป่าในครั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับการปลูกต้นไม้ในพื้นที่สูง ภายใต้ชื่อ CU - TOYOTA Reforestation Model
ทางโตโยต้า ดำเนินงานเพื่ออนุรักษ์และรักษาสิ่งแวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงการสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมแก่สังคมไทยผ่านกิจกรรมต่างๆ ภายใต้โครงการ “โตโยต้าเมืองสีเขียว” โดยหนึ่งในกิจกรรมภายใต้โครงการ คือ กิจกรรมปลูกป่านิเวศ ที่โตโยต้าได้ดำเนินตามแนวคิด “การปลูกป่านิเวศอย่างยั่งยืน” และ เทคนิควิธีการปลูกป่าตามแนวคิดของ อาคิระ มิยาวากิ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ มหาวิทยาลัยแห่งชาติโยโกฮาม่า และผู้อำนวยการสถาบันการเรียนรู้ด้านนิเวศวิทยานานาชาติประจำประเทศญี่ปุ่น ซึ่งทฤษฎีนี้ช่วยร่นระยะเวลาการเจริญเติบโตของป่านิเวศให้เร็วขึ้นนับสิบเท่าจากวิวัฒนาการตามธรรมชาติ ส่งผลให้ประสบความสำเร็จในการสร้างผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์
จนถึงปัจจุบัน บริษัท โตโยต้าฯ ได้ดำเนินกิจกรรมการปลูกป่านิเวศไปแล้วทั้งสิ้นกว่า 1,200,000 ต้น มีอัตราการรอดตายของต้นกล้าสูงถึงร้อยละ 90 ซึ่งผืนป่าเหล่านี้นอกจากจะช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศได้ราว 9,600 ตัน ต่อปี ยังถือเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญ ในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้กลายเป็นเมืองสีเขียวอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต