ออดี้จัดการปรับทัพกระตุ้นตลาดให้กับฝูงรถยนต์คอมแพ็กต์ในซีรีส์ A3 และ S3 ตัวถังต่างๆ เพื่อกระตุ้นตลาด และตามดักทางคู่ปรับอย่างเมอร์เซเดส-เบนซ์ทมี่จัดการปรับโฉม CLA ไปก่อนหน้านี้
A3 ใหม่ที่จะเข้ามาทำตลาดในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ เป็นการปรับโฉมจากรุ่นดั้งเดิมที่เปิดตัวเมื่อปี 2012 และเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 3 ของรถยนต์สายพันธุ์นี้ โดยความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นมีทั้งเรื่องของไฟหน้าแบบ Xenon ซึ่งในตอนนี้กลายเป็นอุปกรณ์มารตรฐานสำหรับทุกรุ่นของ A3 แล้ว และมาพร้อมกับโคมไฟสไตล์ใหม่ที่มี DRL หรือ Daytime Running Light และมีสีตัวถังใหม่ให้เลือก
ส่วนภายในห้องโดยสารอัพเกรดความสดใหม่ด้วยมาตรัดที่แสดงผลผ่านทางหน้าจอขนาด 12.3 นิ้วแสดงผลแบบ High Resolution และตรงกลางจะมีหน้าจอขนาด 7 นิ้วสำหรับแสดงผลการทำงานของระบบต่างๆ รวมถึงระบบนำทาง อีกทั้งในตอนนี้ตัวรถยังสามารถเชื่อมต่อกับระบบ CarPlay ของ Apple และ Android Auto ของ Google ได้ด้วย
ทางเลือกของเครื่องยนต์ที่ทำตลาดจะมีทั้งเบนซินเทอร์โบ 3 สูบ 115 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 20.4 กก.-ม. ตามด้วย 1,400 ซีซี เทอร์โบ 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 25.5 กก.-ม. และ TFSI 2,000 ซีซี เบนซินเทอร์โบ 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 32.6 กก.-ม. ส่วนเทอร์โบดีเซลเป็นรุ่นใหม่แบบ 4 สูบ 1,600 ซีซี 110 แรงม้า ส่วนที่เหลือเป็นบล็อก 2,000 ซีซี ที่มีให้เลือก 2 ระดับความเร้าใจ 150 และ 184 แรงม้า และมีรุ่น e-Tron ประหยัดน้ำมันและเร้าใจในแบบไฮบริดด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 150 แรงม้าของบล็อก 1,400 ซีซีบวกกับมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ผลิตกำลังรวมกันออกมาได้ 204 แรงม้า โดยที่ตัวแรงแห่งยุคจะเป็น S3 ซึ่งเครื่องยนต์ 4 สูบ 2,000 ซีซี เทอร์โบจะมีกำลังเพิ่มขึ้น 10 แรงม้าเป็น 310 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 40.7 กก.-ม.
ในยุโรปจะเริ่มส่งมอบช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ โดยราคาในเยอรมนีจะเริ่มต้นที่ 23,300 ยูโร หรือ 932,000 บาท
A3 ใหม่ที่จะเข้ามาทำตลาดในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ เป็นการปรับโฉมจากรุ่นดั้งเดิมที่เปิดตัวเมื่อปี 2012 และเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 3 ของรถยนต์สายพันธุ์นี้ โดยความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นมีทั้งเรื่องของไฟหน้าแบบ Xenon ซึ่งในตอนนี้กลายเป็นอุปกรณ์มารตรฐานสำหรับทุกรุ่นของ A3 แล้ว และมาพร้อมกับโคมไฟสไตล์ใหม่ที่มี DRL หรือ Daytime Running Light และมีสีตัวถังใหม่ให้เลือก
ส่วนภายในห้องโดยสารอัพเกรดความสดใหม่ด้วยมาตรัดที่แสดงผลผ่านทางหน้าจอขนาด 12.3 นิ้วแสดงผลแบบ High Resolution และตรงกลางจะมีหน้าจอขนาด 7 นิ้วสำหรับแสดงผลการทำงานของระบบต่างๆ รวมถึงระบบนำทาง อีกทั้งในตอนนี้ตัวรถยังสามารถเชื่อมต่อกับระบบ CarPlay ของ Apple และ Android Auto ของ Google ได้ด้วย
ทางเลือกของเครื่องยนต์ที่ทำตลาดจะมีทั้งเบนซินเทอร์โบ 3 สูบ 115 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 20.4 กก.-ม. ตามด้วย 1,400 ซีซี เทอร์โบ 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 25.5 กก.-ม. และ TFSI 2,000 ซีซี เบนซินเทอร์โบ 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 32.6 กก.-ม. ส่วนเทอร์โบดีเซลเป็นรุ่นใหม่แบบ 4 สูบ 1,600 ซีซี 110 แรงม้า ส่วนที่เหลือเป็นบล็อก 2,000 ซีซี ที่มีให้เลือก 2 ระดับความเร้าใจ 150 และ 184 แรงม้า และมีรุ่น e-Tron ประหยัดน้ำมันและเร้าใจในแบบไฮบริดด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 150 แรงม้าของบล็อก 1,400 ซีซีบวกกับมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ผลิตกำลังรวมกันออกมาได้ 204 แรงม้า โดยที่ตัวแรงแห่งยุคจะเป็น S3 ซึ่งเครื่องยนต์ 4 สูบ 2,000 ซีซี เทอร์โบจะมีกำลังเพิ่มขึ้น 10 แรงม้าเป็น 310 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 40.7 กก.-ม.
ในยุโรปจะเริ่มส่งมอบช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ โดยราคาในเยอรมนีจะเริ่มต้นที่ 23,300 ยูโร หรือ 932,000 บาท