เจ้าพ่อรถแรง“นิชคาร์” จัดงานเผยโฉม แมคลาเรน 570S เป็นครั้งแรกในประเทศไทย หลังจากเปิดตัวเป็นครั้งแรกในโลกที่ “นิวยอร์ค ออโต้โชว์ 2015” เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่าน จุดเด่นอยู่ที่โครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบา การออกแบบด้านอากาศพลศาสตร์ที่ดีเยี่ยม อัตราส่วนกำลังเครื่องต่อน้ำหนักอยู่ที่ 434 แรงม้าต่อตัน พร้อมเปิดรับจองทันที โดย 570S Coupé รุ่นแรกในสปอร์ตซีรีส์ เริ่มต้นที่ 21.8 ล้านบาท และรุ่น 540C Coupé ในราคาเริ่มต้น 19.8 ล้านบาท
วิทวัส ชินบารมี กรรมการผู้จัดการ นิชคาร์กรุ๊ป กล่าวว่า ทุกคนทราบถึงชื่อเสียง แมคลาเรน ในฐานะรถแข่งฟอร์มูล่าวันระดับโลก ดังนั้น จึงเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นที่เรามีโอกาสได้รับชม 570S Coupé รุ่นแรกของแมคลาเรนสปอร์ตซีรีส์อย่างใกล้ชิด ซึ่งเรามั่นใจในความฉลาดหลักแหลมของเครื่องยนต์ โดยถือเป็นรุ่นที่มีนวัตกรรมที่ทันสมัยที่สุด ทั้งยังออกแบบที่ทันสมัย และสามารถขับได้ในทุกโอกาส พร้อมด้วยออพชั่นให้เลือกเยอะที่สุดกว่ารุ่นอื่นๆ จึงเหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับหนุ่มสาวสมัยใหม่ผู้ชื่นชอบรถสปอร์ต
“รุ่นสปอร์ตซีรีส์สามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้มากที่สุด แต่ยังคงใช้การออกแบบและเทคโนโลยีหลักของแมคลาเรน เพื่อให้คงมาตรฐานของแบรนด์รถแข่งแมคลาเรนสูงสุด โครงรถใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบาแบบ MonoCell II ทำให้ตัวรถมีน้ำหนักเมื่อไม่เติมเชื้อเพลิงเพียง 1,313 กก. (2,895 ปอนด์) พร้อมเครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบ 3.8 ลิตร ซึ่งใช้ส่วนประกอบใหม่กว่า 30% การตกแต่งภายในยังสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามการใช้งานในแต่ละวัน และมีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวางมากยิ่งขึ้น”
สปอร์ตซีรีส์คือกรณีศึกษาที่สำคัญของงานฝีมือยุคใหม่ รถแต่ละคันได้รับการบรรจงตกแต่งด้วยช่างฝีมือ ในศูนย์ผลิตแมคลาเรนที่มีความทันสมัย ตั้งอยู่ในเมืองโว้คกิ้ง ประเทศอังกฤษ พร้อมด้วยอุปกรณ์ตกแต่งเสริมใหม่ๆ จากดีไซเนอร์ของแมคลาเรน ตอบรับความต้องการที่แตกต่างของผู้ขับแต่ละท่านได้อย่างดีเยี่ยม
สำหรับแมคลาเรน สปอร์ตซีรีส์ คือ รุ่นที่สามและรุ่นสุดท้ายในครอบครัวแมคลาเรนออโต้โมทีฟ โดยจะเปิดตัวสองโมเดลแรก 570S Coupé คือโมเดลแรกและมีพละกำลังมากที่สุด และ 540C Coupé จะมีราคาที่ย่อมเยาว์กว่า เปิดตัวในไตรมาสที่สอง ปี พ.ศ. 2559
อีกสองซีรีย์ที่เปิดตัวไปก่อนหน้า คือ อัลติเมทซีรีย์ (แมคลาเรน P1™ และ แมคลาเรน P1™ GTR) และซุปเปอร์ซีรีส์ ซึ่งเป็นหัวใจของแมคลาเรน (650S เปิดตัวแล้วทั้งแบบ Coupé และ Spider และรุ่นแมคลาเรน 675LT)
แมคลาเรน สปอร์ตซีรีส์ ยังมากับโครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบา เช่นเดียวกับแมคลาเรนทุกคันที่ได้พัฒนาเพื่อใช้บนถนนและสนามแข่ง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524 แม้ว่าจะคล้ายกับโครงสร้างของซุปเปอร์ซีรีส์ แต่โครง MonoCell II คือจุดต่างที่สำคัญของสปอร์ตซีรีส์ ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่เพื่อให้เหมาะกับการใช้ในชีวิตประจำวัน มีการปรับปรุงประตูเพื่อให้เข้า-ออกห้องโดยสารได้สะดวกยิ่งขึ้น โครงสร้างรถยังมีความแข็งแรงเป็นพิเศษและให้น้ำหนักที่เบาน้อยกว่า 75 กิโลกรัม
โดยคาร์บอนไฟเบอร์ MonoCell II แข็งกว่าโครงอะลูมิเนียมถึง 25 เปอร์เซ็นต์ และเหนือชั้นกว่าโครงเหล็ก ให้ความปลอดภัยหากเกิดการชน
เครื่องยนต์ 3.8 ลิตร V8 ทวินเทอร์โบ M838TE ด้วยชิ้นส่วนที่ผลิตขึ้นพิเศษกว่า 30% ให้กำลังสูงสุด 570 แรงม้า ที่ 7,400 รอบต่อนาที แรงบิด 600 นิวตันเมตร จะอยู่ที่ 5,000-6,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ดูอัลคลัทช์ 7 สปีด อัตราเร่ง 0-100 กม/ชม (0-62 ไมล์ต่อชั่วโมง) ภายใน 3.2 วินาที และ 0-200 กม/ชม (124 ไมลฺต่อชั่วโมง) ภายใน 9.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 328 กิโลเมตร/ชั่วโมง (204 ไมล์ต่อชั่วโมง)
เทคโนโลยีที่ใช้ร่วมกับซุปเปอร์ซีรีส์ อย่างเครื่องยนต์ M838TE ประกอบด้วย ระบบหล่อลื่นอ่างน้ำมันเครื่องแบบแห้ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในขณะเข้าโค้ง โดยปราศจากน้ำมันไหล พร้อมด้วยเพลาข้อเหวี่ยง flat-plane crankshaft เพื่อให้มีศูนย์กลางโน้มถ่วงที่ดีขึ้น รวมถึงการบังคับรถและความคล่องแคล่วของการขับ
ขณะเดียวกันผู้ขับสามารถเลือกโหมดการขับได้ แบบ ‘ปกติ’, ‘สปอร์ต’ และ ‘แข่ง’ ตลอดจนระบบ Stop-start system ติดตั้งในแมคลาเรนเป็นครั้งแรก ให้ประสิทธิภาพการขับที่ดีขึ้นสำหรับการขับขี่ในเมือง รวมถึงการปรับปรุงอัตราการกินน้ำมันและการปล่อย CO2
ด้านระบบกันสะเทือนที่พัฒนาขึ้นใหม่ใช้ adaptive damper และ anti-roll bars ส่วนพวงมาลัยมาพร้อมระบบ fast steering rack ratio ที่เอื้อให้ผู้ขับสามารถบังคับพวงมาลัยได้ตามทิศทางที่ต้องการเมื่อใช้ความเร็วสูงสุด โดยใช้ระบบไฮดรอลิกร่วมกับไฟฟ้า (electro-hydraulic) เพื่อมอบประสบการณ์ขับอย่างแท้จริง
ระบบเบรกเป็นดิสก์คาร์บอนเซรามิก ขนาด 394 มม.x 36 มม. ที่ล้อหน้า และขนาด 380 มม. x 34 มม. ที่ล้อหลัง พร้อมด้วยคาลิเปอร์ลูกสูบ 6 ลูก ที่ด้านหน้า และ 4 ลูกที่ด้านหลัง ระบบเบรก ABS ก็ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่เช่นกัน ลดการกระตุกที่คันเหยียบ
มั่นใจด้วยระบบ Electronic Stability Control หรือ ESC ใหม่ ของ Bosch ประกอบด้วยโหมด Dynamic ใหม่ และโหมด Driftability ระบบ ESC ของแมคลาเรน 570S ยังประกอบด้วยสวิตช์ควบคุมใหม่ล่าสุด ซึ่งสามารถเลือกโหมดการควบคุมแบบเต็มรูปแบบ แบบไดนามิค หรือปิดระบบ ESC เมื่อขับในโหมด Sport หรือ Track พร้อมระบบปั๊มและวาล์วคู่ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเป็นพิเศษ
สปอร์ตซีรีส์เปิดตัวพร้อมกับล้อในดีไซน์ใหม่ๆ ที่ผู้ขับสามารถเลือกแต่งตามความต้องการ ตัวเครื่องมาตรฐานจะใช้ล้อน้ำหนักเบา 14 ซี่ ขนาด 19 นิ้วที่ล้อหน้า และ 20 นิ้วที่ล้อหลัง สำหรับล้อแบบ Two Super Lightweight จะมาพร้อมกับล้อ 5 หรือ 10 ซี่ ซึงจะให้น้ำหนักที่เบาลงถึง 7 กิโลกรัม แต่ละแบบจะใช้วัสดุเงิน แต่ผู้ขับสามารถเลือกเปลี่ยนเป็นวัสดุเป็นเงิน หรือเพชร
ส่วนยางร่วมกับพันธมิตรพิเรลลิ โดยจะเน้นย้ำในเรื่องความบาลานซ์ ความคล่องตัว และความยึดเกาะถนน เพื่อให้ผู้ขับมีความมั่นใจในการขับสูงสุด ซึ่ง570S Coupé ใช้ยางพิเรลลิ รุ่น Pirelli P Zero™ Corsa ขนาดยางล้อหน้า 225/35/R19 และ 285/35/R20 ที่ล้อหลัง
สำหรับ 570S Coupé ราคา 21.8 ล้านบาท เริ่มส่งมอบให้ลูกค้าได้ตั้งแต่ต้นปีหน้า ส่วนรุ่น 540C Coupé ราคา 19.8 ล้านบาท จะตามมาในช่วงไตรมาสสาม
วิทวัส ชินบารมี กรรมการผู้จัดการ นิชคาร์กรุ๊ป กล่าวว่า ทุกคนทราบถึงชื่อเสียง แมคลาเรน ในฐานะรถแข่งฟอร์มูล่าวันระดับโลก ดังนั้น จึงเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นที่เรามีโอกาสได้รับชม 570S Coupé รุ่นแรกของแมคลาเรนสปอร์ตซีรีส์อย่างใกล้ชิด ซึ่งเรามั่นใจในความฉลาดหลักแหลมของเครื่องยนต์ โดยถือเป็นรุ่นที่มีนวัตกรรมที่ทันสมัยที่สุด ทั้งยังออกแบบที่ทันสมัย และสามารถขับได้ในทุกโอกาส พร้อมด้วยออพชั่นให้เลือกเยอะที่สุดกว่ารุ่นอื่นๆ จึงเหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับหนุ่มสาวสมัยใหม่ผู้ชื่นชอบรถสปอร์ต
“รุ่นสปอร์ตซีรีส์สามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้มากที่สุด แต่ยังคงใช้การออกแบบและเทคโนโลยีหลักของแมคลาเรน เพื่อให้คงมาตรฐานของแบรนด์รถแข่งแมคลาเรนสูงสุด โครงรถใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบาแบบ MonoCell II ทำให้ตัวรถมีน้ำหนักเมื่อไม่เติมเชื้อเพลิงเพียง 1,313 กก. (2,895 ปอนด์) พร้อมเครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบ 3.8 ลิตร ซึ่งใช้ส่วนประกอบใหม่กว่า 30% การตกแต่งภายในยังสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามการใช้งานในแต่ละวัน และมีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวางมากยิ่งขึ้น”
สปอร์ตซีรีส์คือกรณีศึกษาที่สำคัญของงานฝีมือยุคใหม่ รถแต่ละคันได้รับการบรรจงตกแต่งด้วยช่างฝีมือ ในศูนย์ผลิตแมคลาเรนที่มีความทันสมัย ตั้งอยู่ในเมืองโว้คกิ้ง ประเทศอังกฤษ พร้อมด้วยอุปกรณ์ตกแต่งเสริมใหม่ๆ จากดีไซเนอร์ของแมคลาเรน ตอบรับความต้องการที่แตกต่างของผู้ขับแต่ละท่านได้อย่างดีเยี่ยม
สำหรับแมคลาเรน สปอร์ตซีรีส์ คือ รุ่นที่สามและรุ่นสุดท้ายในครอบครัวแมคลาเรนออโต้โมทีฟ โดยจะเปิดตัวสองโมเดลแรก 570S Coupé คือโมเดลแรกและมีพละกำลังมากที่สุด และ 540C Coupé จะมีราคาที่ย่อมเยาว์กว่า เปิดตัวในไตรมาสที่สอง ปี พ.ศ. 2559
อีกสองซีรีย์ที่เปิดตัวไปก่อนหน้า คือ อัลติเมทซีรีย์ (แมคลาเรน P1™ และ แมคลาเรน P1™ GTR) และซุปเปอร์ซีรีส์ ซึ่งเป็นหัวใจของแมคลาเรน (650S เปิดตัวแล้วทั้งแบบ Coupé และ Spider และรุ่นแมคลาเรน 675LT)
แมคลาเรน สปอร์ตซีรีส์ ยังมากับโครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบา เช่นเดียวกับแมคลาเรนทุกคันที่ได้พัฒนาเพื่อใช้บนถนนและสนามแข่ง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524 แม้ว่าจะคล้ายกับโครงสร้างของซุปเปอร์ซีรีส์ แต่โครง MonoCell II คือจุดต่างที่สำคัญของสปอร์ตซีรีส์ ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่เพื่อให้เหมาะกับการใช้ในชีวิตประจำวัน มีการปรับปรุงประตูเพื่อให้เข้า-ออกห้องโดยสารได้สะดวกยิ่งขึ้น โครงสร้างรถยังมีความแข็งแรงเป็นพิเศษและให้น้ำหนักที่เบาน้อยกว่า 75 กิโลกรัม
โดยคาร์บอนไฟเบอร์ MonoCell II แข็งกว่าโครงอะลูมิเนียมถึง 25 เปอร์เซ็นต์ และเหนือชั้นกว่าโครงเหล็ก ให้ความปลอดภัยหากเกิดการชน
เครื่องยนต์ 3.8 ลิตร V8 ทวินเทอร์โบ M838TE ด้วยชิ้นส่วนที่ผลิตขึ้นพิเศษกว่า 30% ให้กำลังสูงสุด 570 แรงม้า ที่ 7,400 รอบต่อนาที แรงบิด 600 นิวตันเมตร จะอยู่ที่ 5,000-6,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ดูอัลคลัทช์ 7 สปีด อัตราเร่ง 0-100 กม/ชม (0-62 ไมล์ต่อชั่วโมง) ภายใน 3.2 วินาที และ 0-200 กม/ชม (124 ไมลฺต่อชั่วโมง) ภายใน 9.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 328 กิโลเมตร/ชั่วโมง (204 ไมล์ต่อชั่วโมง)
เทคโนโลยีที่ใช้ร่วมกับซุปเปอร์ซีรีส์ อย่างเครื่องยนต์ M838TE ประกอบด้วย ระบบหล่อลื่นอ่างน้ำมันเครื่องแบบแห้ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในขณะเข้าโค้ง โดยปราศจากน้ำมันไหล พร้อมด้วยเพลาข้อเหวี่ยง flat-plane crankshaft เพื่อให้มีศูนย์กลางโน้มถ่วงที่ดีขึ้น รวมถึงการบังคับรถและความคล่องแคล่วของการขับ
ขณะเดียวกันผู้ขับสามารถเลือกโหมดการขับได้ แบบ ‘ปกติ’, ‘สปอร์ต’ และ ‘แข่ง’ ตลอดจนระบบ Stop-start system ติดตั้งในแมคลาเรนเป็นครั้งแรก ให้ประสิทธิภาพการขับที่ดีขึ้นสำหรับการขับขี่ในเมือง รวมถึงการปรับปรุงอัตราการกินน้ำมันและการปล่อย CO2
ด้านระบบกันสะเทือนที่พัฒนาขึ้นใหม่ใช้ adaptive damper และ anti-roll bars ส่วนพวงมาลัยมาพร้อมระบบ fast steering rack ratio ที่เอื้อให้ผู้ขับสามารถบังคับพวงมาลัยได้ตามทิศทางที่ต้องการเมื่อใช้ความเร็วสูงสุด โดยใช้ระบบไฮดรอลิกร่วมกับไฟฟ้า (electro-hydraulic) เพื่อมอบประสบการณ์ขับอย่างแท้จริง
ระบบเบรกเป็นดิสก์คาร์บอนเซรามิก ขนาด 394 มม.x 36 มม. ที่ล้อหน้า และขนาด 380 มม. x 34 มม. ที่ล้อหลัง พร้อมด้วยคาลิเปอร์ลูกสูบ 6 ลูก ที่ด้านหน้า และ 4 ลูกที่ด้านหลัง ระบบเบรก ABS ก็ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่เช่นกัน ลดการกระตุกที่คันเหยียบ
มั่นใจด้วยระบบ Electronic Stability Control หรือ ESC ใหม่ ของ Bosch ประกอบด้วยโหมด Dynamic ใหม่ และโหมด Driftability ระบบ ESC ของแมคลาเรน 570S ยังประกอบด้วยสวิตช์ควบคุมใหม่ล่าสุด ซึ่งสามารถเลือกโหมดการควบคุมแบบเต็มรูปแบบ แบบไดนามิค หรือปิดระบบ ESC เมื่อขับในโหมด Sport หรือ Track พร้อมระบบปั๊มและวาล์วคู่ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเป็นพิเศษ
สปอร์ตซีรีส์เปิดตัวพร้อมกับล้อในดีไซน์ใหม่ๆ ที่ผู้ขับสามารถเลือกแต่งตามความต้องการ ตัวเครื่องมาตรฐานจะใช้ล้อน้ำหนักเบา 14 ซี่ ขนาด 19 นิ้วที่ล้อหน้า และ 20 นิ้วที่ล้อหลัง สำหรับล้อแบบ Two Super Lightweight จะมาพร้อมกับล้อ 5 หรือ 10 ซี่ ซึงจะให้น้ำหนักที่เบาลงถึง 7 กิโลกรัม แต่ละแบบจะใช้วัสดุเงิน แต่ผู้ขับสามารถเลือกเปลี่ยนเป็นวัสดุเป็นเงิน หรือเพชร
ส่วนยางร่วมกับพันธมิตรพิเรลลิ โดยจะเน้นย้ำในเรื่องความบาลานซ์ ความคล่องตัว และความยึดเกาะถนน เพื่อให้ผู้ขับมีความมั่นใจในการขับสูงสุด ซึ่ง570S Coupé ใช้ยางพิเรลลิ รุ่น Pirelli P Zero™ Corsa ขนาดยางล้อหน้า 225/35/R19 และ 285/35/R20 ที่ล้อหลัง
สำหรับ 570S Coupé ราคา 21.8 ล้านบาท เริ่มส่งมอบให้ลูกค้าได้ตั้งแต่ต้นปีหน้า ส่วนรุ่น 540C Coupé ราคา 19.8 ล้านบาท จะตามมาในช่วงไตรมาสสาม