xs
xsm
sm
md
lg

อาลัย"วรพจน์ บุญช่วยเหลือ"...ขอชีวิตสุดท้ายบนสนามแข่ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ถือเป็นข่าวเศร้าของวงการยานยนต์ไทยที่ต้องเสีย “วรพจน์ บุญช่วยเหลือ” นักแข่งแรลลี่ระดับตำนาน ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ คลิกอ่าน “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” พาย้อนไปดูบนสัมภาษณ์ถึงเส้นทางชีวิตกว่า 30 ปีในวงการมอเตอร์สปอร์ต (ลงmanager online 24 ธันวาคม 2552)


ตลอด 30 ปีบนเส้นทางชีวิตของใครบางคน ในการทำกิจกรรม หรืออาชีพอะไร อาจจะเป็นเรื่องไม่แปลก แต่สำหรับ 30 ปี บนสนามแข่งขันรถยนต์ของ “วรพจน์ บุญช่วยเหลือ” คงต้องยกนิ้วให้หัวจิตหัวใจ! ของนักแข่งคนนี้ ซึ่งได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า... ตัวเลขอายุที่มากขึ้นไม่ได้เป็นอุปสรรค หรือทำให้เขาต้องมายืนอยู่ข้างสนามเลย และยังสามารถก้าวขึ้นแท่น คว้าช่อมะกอกมาครองได้สมศักดิ์ศรี ไม่แพ้นักแข่งหนุ่มๆ แต่อย่างใด

“ผมแข่ง ขันรถครั้งแรกเมื่อปลายปี 1979 ในการแข่งแรลลี่ของคุ้มเกล้าที่กรุงเทพฯ แต่ผมเป็นเด็กบ้านนอกอยู่เมืองจันทบุรีนะ ไม่ได้มีทีมมีพรรคพวกอะไรกับเขา และเข้ามาแข่งครั้งแรกก็ได้รางวัลอันดับ 2 ไปครอง จากนั้นมาผมก็มีชีวิตอยู่บนสนามแข่งขันรถยนต์มาตลอด ทั้งทางเรียบและทางฝุ่น หรือครอสคันทรี เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาก็ครบ 30 ปีพอดี”

วรพจน์เริ่มกล่าวถึงเส้นทางบนสนามแข่งขันรถยนต์ของเขา และบอกว่า... “ผมชอบเรื่องรถมาตั้งแต่เด็ก ติดตามข่าวคราววงการรถยนต์ จากหนังสืออย่างกรังด์ปรีซ์ตลอด ขณะนั้นมีอยู่ 2 สิ่งที่ผมชอบ คือ อยากจะเป็นทหาร และชอบแข่งรถ ซึ่งพออายุ 21 ปี ถึงเวลาเกณฑ์ทหารคนต่างจังหวัด ส่วนใหญ่จะไปบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ให้ถูกทหาร แต่ผมไม่เหมือนชาวบ้านเขา”


“ผมบนขอพรพระที่บ้านให้ถูกทหาร หรือหากไม่ถูกก็ขอให้ได้แข่งรถ”

วรพจน์เอ่ยถึงอดีตด้วยรอยยิ้ม และเล่าต่อว่า... “ผมไม่ถูกทหาร แต่ได้แข่งรถจริงๆ หลายคนอาจจะคิดว่าผมรวย จริงๆ ชีวิตผมแทบไม่มีจะกินเลย ออกจากบ้านจังหวัดระยอง มาตั้งแต่เด็ก ต้องใช้ชีวิตคนเดียวมาตลอด ผ่านการอดอยากและทำงานสารพัดรูปแบบ ผมไม่ทำอย่างเดียว คือ สิ่งผิดกฎหมายเท่านั้น”

สำหรับจุดเริ่มต้นสู่เส้นทางนักแข่ง วรพจน์บอกว่าช่วงนั้นกลับไปช่วยพี่ชายทำงานที่จันทบุรี พอดีกับ “พิทักษ์ ปราดเปรื่อง” (ผู้จัดการแข่งขันครอสคันทรีชื่อดังของไทย) ได้ย้ายมาเปิดร้านสปีดไลน์ที่จันทบุรี ผมรู้จักเพราะเขาเป็นคนดัง เห็นจากในหนังสือตลอด จึงไปคลุกคลีที่ร้านแทบทุกวัน เช้าไปทำงานกับพี่ชาย ตกบ่ายมาอยู่ที่ร้านของคุณพิทักษ์ จนถูกถามว่า... “มึงมาทำไม? ทุกวัน”

“ที่สุดคุณพิทักษ์เห็นผมชอบเรื่องรถ พอดีมีเครื่องยนต์เก่าอยู่ที่ร้านจึงยกให้ผม และนั้นแหละที่ผมนำแต่งและใช้ในการแข่งขันครั้งแรก เป็นโตโยต้า โคโรลล่า เคอี10 ซึ่งเป็นรถแหนบหน้ารุ่นแรก จากนั้นผมก็เข้าแข่งขันรถยนต์มาอย่างต่อเนื่อง สมัยโน้นนักแข่งดังๆ ก็มี ปรีชา ทรัพย์พงษ์ และผมถือว่าเป็นนักแข่งอัจฉริยะคนเดียวในสายตาผม ส่วนรุ่นผมก็มี สุทธิพงษ์ สมิตชาติ ที่ขับให้กับทีมโตโยต้าแต่แข่งขันคนละรุ่น”
วรพจน์ บุญช่วยเหลือ  กับ พิทักษ์ ปราดเปรื่อง
จากใจรักทำให้ วรพจน์ไม่เคยหยุดแข่งรถยนต์เลยสักปี จนโดดขึ้นมาอยู่แถวหน้าของเมืองไทย และได้เข้าร่วมทีมกับโตโยต้า ไปแข่งขันทั้งในและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นที่มาเก๊า และประเทศญี่ปุ่น โดยกวาดรางวัลมามากมาย

“อย่าคิดว่ารางวัลจากการแข่งขันจะทำให้เราอยู่ได้ ผมขอบอกว่าเป็นสิ่งที่แทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย แม้แต่ปัจจุบันก็ไม่ได้แตกต่างกัน คิดดูราคาทองคำสมัยโน้นหนักบาทละ 600 บาท ปัจจุบันอยู่ที่ 18,000 บาท แต่เงินรางวัลแชมป์การแข่งขันเมื่อก่อนกับสมัยนี้ก็ยังไม่ต่างกันเลย ผมอยู่ได้เพราะมีอาชีพอื่น สมัยก่อนก็นำรถหรือชิ้นส่วนเก่าจากต่างประเทศมาขาย และปัจจุบันก็มีสวนยางทำให้พออยู่ได้สบายๆ”

บนเส้นทางของวรพจน์ เขายังเป็นนักแข่งไทยคนแรก ที่ไปใช้ชีวิตนักแข่งอยู่ที่มาเลเซีย โดยออกจากทีมโตโยต้าในไทย ไปอยู่กับทีม “ฟอร์ด” ที่มาเลเซีย แข่งขันที่สนาม “ชาหะลัมห์” ซึ่งที่โน้นต้องทำงานเป็นทีม บางครั้งก็ต้องเป็นตัวกันให้ทีม เนื่องด้วยความกล้าและบ้าบิ่นของเขา จนสื่อมาเลเซียถึงกับพาดข่าวหัวหนังสือพิมพ์ว่า....

“วรพจน์นักขับอันตรายจากไทยแลนด์”

แต่ใช่ว่าวรพจน์จะเป็นนักขับที่อาศัยเพียงใจและความกล้าเท่านั้น ทักษะของเขาเป็นที่ยอมรับไปทั่ววงการ ไม่เพียงฝีมือที่ผ่านการฝึกฝนและประสบการณ์ วรพจน์ยังผ่านการเรียนรู้จากนักแข่งรถยนต์ “ฟอร์มูล่าวัน” ถึง 3 คน ได้แก่ “ซิด วิลเลี่ยม” ซึ่งต้องลงทุนไปเรียนเทคนิคการขับทางเปียกด้วย ที่เมืองเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ประเทศอังกฤษ และ“ชาโตรุ นากาจิมา” นักแข่งฟอร์มูล่าวันคนแรกของญี่ปุ่น ซึ่งสมัยอยู่ทีมโตโยต้าเขาถูกส่งให้ไปเรียนด้วยอีกคน และสุดท้าย “สเตฟาโน โมเดนา” อดีตนักแข่งรถสูตร 1 ชาวอิตาเลี่ยน และยังเป็นผู้คิดค้นและพัฒนาหลักสูตรการขับรถ ในโครงการ Bridgestone Potenza Lesson หรือ BPL ของบริษัทยางรถบริดจสโตน
 วรพจน์ บุญช่วยเหลือ แชมป์ Australasian Safari 3 ปีซ้อน, แชมป์ Asia Cross Country 3 สมัย
จึงไม่แปลกที่ วรพจน์จะประสบความสำเร็จ บนเส้นทางการแข่งขันรถยนต์ตลอดช่วง 30 ปีที่ผ่านมา กวาดรางวัลมาแล้วมากมาย แต่ที่เป็นปีทองของวรพจน์ เห็นจะเป็นช่วงที่ขับปิกอัพมาสด้า รุ่นเลอมังส์ คว้าแชมป์เอเชีย ครอสคันทรี 2002 และโดยเฉพาะในปี 2003 กวาดแชมป์รายการใหญ่ ทั้งในไทยและระดับนานาชาติถึง 5 รายการ อาทิ เอเชีย ครอสคันทรี กัวลาลัมเปอร์ และทางเรียบรายการแรลลี่ เอเชีย-แปซิฟิก เป็นต้น

จนที่สุดในปีนั้นวรพจน์ได้รับคัดเลือก ให้เข้าชิงตำแหน่งนักกีฬายอดเยี่ยมของประเทศไทย จัดโดยการกีฬาแห่งประเทศไทย แต่ตำแหน่งตกเป็นของ “ภราดร ศรีชาพันธุ์” นักเทนนิสมือหนึ่งของไทย และระดับนำของโลกขณะนั้น...

แม้ปัจจุบันวรพจน์จะผ่านพ้นอายุเลข 50 เขายังไม่หยุดลงสังเวียนประลองความเร็ว และยังคงเป็นนักแข่งชั้นนำของไทยอยู่เช่นเดิม โดยเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา วรพจน์ฉลองครบรอบชีวิตนักแข่ง 30 ปีของเขา ด้วยการคว้าตำแหน่งแชมป์รุ่นโปรทรัค เกรดเอ-บี/ซี สนามสุดท้ายรายการ “โปร เรซซิ่ง ซีรีส์ 2009” ได้อย่างสมศักดิ์ศรี

ไม่เพียงเท่า นั้นประสบการณ์บนสนามแข่ง วรพจน์ไม่ได้หวงแหนหรือเก็บความรู้ไว้เพียงคนเดียว จึงไม่แปลกที่นักแข่งรุ่นน้องๆ หลานๆ จะขอคำปรึกษา และที่สุดวรพจน์ก็กลายเป็นครู ที่มีลูกศิษย์ลูกหาที่มีชื่อเสียงและฝีมือดีมากมาย ไม่ว่าจะเป็น “มนัส กุลปานนท์” จากทีมโตโยต้า ไทยแลนด์ หรือ “อภิชัย พันธุ์คงชื่น” บุตรชายของ “พล.ต.อ.กฤษดา พันธุ์คงชื่น” ผู้บัญชาการตำรวจภาค 1 ผู้ที่วรพจน์ประกาศชัดว่าเป็นคนที่มีบุญคุณ และเขานับถือมากที่สุดคนหนึ่ง

“นอกจากนี้ตลอดชีวิตแข่งรถ 30 ปี ต้องขอขอบคุณบริดจสโตนที่สนับสนุนผมมาตลอด และผมอยากจะฝากบอกนักแข่งรุ่นใหม่ๆ สิ่งสำคัญในเส้นทางนักแข่งรถ อย่า ‘อิจฉา’ เด็ดขาด เพราะเป็นสิ่งไม่ดีมันจะทำทำลายหมด ทั้งตัวเราเองและผู้อื่น รวมถึงอย่าทำให้วงการเขาเสียหาย และอย่าลบหลู่กฏกติกา ตลอดจนผู้ใหญ่ในวงการ สุดท้ายจะอยู่ในวงการนี้ไม่ได้นาน ส่วนผู้ใช้รถบนถนนทั่วไป การขับรถเร็วทำได้ แต่อย่าทำให้คนอื่นเขาไม่ปลอดภัย และขอความกรุณาอย่าเปิดไฟตัดหมอกถ้าไม่จำเป็น มันรบกวนและจะทำให้เกิดอันตรายได้”

ก่อนจบการสนทนา “ASTV ผู้จัดการมอเตอริ่ง” ถามว่า... “30 ปีผ่านไปแล้ว ชีวิตบนสนามแข่งต่อไปจะเป็นอย่างไร?”

“ผมตอบไม่ได้ แต่ผมฝันเอาไว้ว่าอยากจะมีลมหายใจสุดท้ายบนสนามแข่ง โดยอาจจะเกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิตไปเลย หากเป็นเช่นนี้รู้สึกมันสมศักดิ์ศรี นี่แหละความรู้สึกของผม”

...ขอแสดงความอาลัย จาก “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง”

ภาพส่วนหนึ่งมาจาก FB Pitak Gpi ขอบคุณคะ



กำลังโหลดความคิดเห็น