ข่าวในประเทศ - ค่าย “มาสด้า” ชูเทคโนโลยีสกายแอคทีฟฝ่าวิกฤติตลาดรถซบเซา ประกาศเพิ่มผลิตภัณฑ์ในไทย ปลายปีเตรียมเผยโฉม “มาสด้า2 สกายแอคทีฟ” เผยหากจะช่วยให้ตลาดรถไทยฟื้นอย่างแข็งแกร่ง แต่ละค่ายจะต้องมีสินค้าเทคโนโลยีโดดเด่น อย่างรุ่นซีเอ็กซ์-5 และมาสด้า3 ทำสำเร็จมาแล้ว มั่นใจรุ่นใหม่จะดันมาสด้าผงาดติดท็อป 3 ของตลาดเก๋ง
นางสาวสุรีทิพย์ ละอองทอง โฉมทองดี รองประธานกรรมการบริหารฝ่ายการตลาด บริษัท มาสด้า เซลส์(ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดรถยนต์ไทยในช่วงครึ่งปีแรกลดลงประมาณ 41% หรือมียอดขายทั้งหมดกว่า 4.32 แสนคัน มาสด้ามียอดขาย 1.7 หมื่นคัน ลดลง 43% แต่เชื่อว่าในครึ่งปีหลังทิศทางน่าจะฟื้นตัวดีขึ้น จากความชัดเจนทางการเมือง และเป็นปกติของตลาดรถที่ช่วงครึ่งปีหลังจะมียอดขายที่ดีกว่า
“อย่างไรก็ตาม การแข่งขันคงจะรุนแรงโดยเฉพาะในกลุ่มตลาดรถเล็ก ที่ยอดขายลดลงมากถึง 48% แต่หากจะให้ตลาดฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งและมั่นคง ค่ายรถจะต้องมีผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่น ทั้งในเรื่องของรูปลักษณ์และเทคโนโลยี เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ไม่ใช่กระตุ้นยอดขายผ่านโปรโมชันแรงๆ ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวมาสด้าประสบความสำเร็จในสภาวะตลาดซบเซาในปัจจุบัน จากการเปิดตัวรถยนต์เทคโนโลยีสกายแอคทีฟแล้ว และในช่วงปลายปีนี้จะเพิ่มผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีสกายแอคทีฟในมาสด้า2 และเชื่อว่าจะช่วยผลักดันให้มาสด้าก้าวมาอยู่ในกลุ่มท็อป 3 ของตลาดเก๋งต่อไป”
ทั้งนี้ปัจจุบันมาสด้ามีผลิตภัณฑ์หลักแบ่งเป็น 2 กลุ่ม เป็นรถยนต์เทคโนโลยีสกายแอคทีฟ อย่างมาสด้า ซีเอ็กซ์-5 และมาสด้า3 สกายแอคทีฟ ซึ่งได้รับความนิยมจากผู้บริโภคชาวไทยและในทั่วโลกอย่างมาก เนื่องจากเพิ่มความปลอดภัย เครื่องยนต์แรงขึ้นแต่ประหยัดน้ำมัน และลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้สามารถเพิ่มยอดขายและส่วนแบ่งการตลาดในเซกเม้นท์ดังกล่าว แม้ภาพรวมตลาดจะลดลงอย่างมากก็ตาม โดยขณะนี้มียอดค้างส่งมอบกว่า 2 เดือน หรือรุ่นละ 3,000 คัน
นางสาวสุรีทิพย์เปิดเผยว่า ขณะที่อีกกลุ่มเป็นรถยนต์เทคโนโลยีเดิม อย่างปิกอัพมาสด้า บีที-50 และมาสด้า2 ซึ่งเป็นรถที่แนะนำสู่ตลาดไทยมาระยะหนึ่ง โดยเฉพาะมาสด้า2 ที่อยู่ในช่วงปลายโมเดล แต่เป็นรถที่อยู่ในตลาดใหญ่และมีคามสำคัญ ประกอบกับตลาดรถกลุ่มนี้ชะลอตัวมาก จึงทำให้ยอดขายทั้งสอง 2 รุ่น ไปฉุดภาพรวมยอดขายมาสด้าให้ตกลงมากตามไปด้วย
“ในช่วงครึ่งปีหลังมั่นใจจะสามารถผลักดันยอดขาย ให้ดีกว่าภาพรวมของตลาดรถยนต์ไทย โดยได้เจรจากับโรงงานให้เพิ่มกำลังการผลิตรถครอสโอเวอร์รุ่นซีเอ็กซ์-5 และเก๋งมาสด้า3 ให้เพียงพอกับความต้องการลูกค้า และส่งมอบรถที่ค้างอยู่รุ่นละกว่า 3,000 คันให้ได้โดยเร็วๆ ขณะที่มาสด้า 2 ซึ่งอยู่ในช่วงปลายโมเดล จำเป็นจัดโปรโมชันสร้างแรงจูงใจ แต่จะไม่ลงไปเล่นแคมเปญแรงๆ ส่วนปิกอัพบีที-50 โปร จะเพิ่มรุ่นย่อยเพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคมากขึ้น”
สำหรับเครือข่ายการขายและศูนย์บริการ มาสด้ามีการเปิดเพิ่มอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถรองรับลูกค้าได้เหมาะสม โดยปัจจุบันมีโชว์รูมและศูนย์บริการกว่า 140 แห่งทั่วประเทศ ตั้งเป้าภายในสิ้นปีนี้จะสามารถเพิ่มผู้แทนจำหน่ายเป็น 160 แห่ง ด้วยการเพิ่มผู้จำหน่ายในกรุงเทพฯ 4 แห่ง และต่างจังหวัดหลังจากเพิ่ม 4 แห่งไปแล้ว ในครึ่งปีหลังจะขยายอีกทั้งหมด 8 แห่ง
นางสาวสุรีทิพย์ ละอองทอง โฉมทองดี รองประธานกรรมการบริหารฝ่ายการตลาด บริษัท มาสด้า เซลส์(ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดรถยนต์ไทยในช่วงครึ่งปีแรกลดลงประมาณ 41% หรือมียอดขายทั้งหมดกว่า 4.32 แสนคัน มาสด้ามียอดขาย 1.7 หมื่นคัน ลดลง 43% แต่เชื่อว่าในครึ่งปีหลังทิศทางน่าจะฟื้นตัวดีขึ้น จากความชัดเจนทางการเมือง และเป็นปกติของตลาดรถที่ช่วงครึ่งปีหลังจะมียอดขายที่ดีกว่า
“อย่างไรก็ตาม การแข่งขันคงจะรุนแรงโดยเฉพาะในกลุ่มตลาดรถเล็ก ที่ยอดขายลดลงมากถึง 48% แต่หากจะให้ตลาดฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งและมั่นคง ค่ายรถจะต้องมีผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่น ทั้งในเรื่องของรูปลักษณ์และเทคโนโลยี เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ไม่ใช่กระตุ้นยอดขายผ่านโปรโมชันแรงๆ ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวมาสด้าประสบความสำเร็จในสภาวะตลาดซบเซาในปัจจุบัน จากการเปิดตัวรถยนต์เทคโนโลยีสกายแอคทีฟแล้ว และในช่วงปลายปีนี้จะเพิ่มผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีสกายแอคทีฟในมาสด้า2 และเชื่อว่าจะช่วยผลักดันให้มาสด้าก้าวมาอยู่ในกลุ่มท็อป 3 ของตลาดเก๋งต่อไป”
ทั้งนี้ปัจจุบันมาสด้ามีผลิตภัณฑ์หลักแบ่งเป็น 2 กลุ่ม เป็นรถยนต์เทคโนโลยีสกายแอคทีฟ อย่างมาสด้า ซีเอ็กซ์-5 และมาสด้า3 สกายแอคทีฟ ซึ่งได้รับความนิยมจากผู้บริโภคชาวไทยและในทั่วโลกอย่างมาก เนื่องจากเพิ่มความปลอดภัย เครื่องยนต์แรงขึ้นแต่ประหยัดน้ำมัน และลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้สามารถเพิ่มยอดขายและส่วนแบ่งการตลาดในเซกเม้นท์ดังกล่าว แม้ภาพรวมตลาดจะลดลงอย่างมากก็ตาม โดยขณะนี้มียอดค้างส่งมอบกว่า 2 เดือน หรือรุ่นละ 3,000 คัน
นางสาวสุรีทิพย์เปิดเผยว่า ขณะที่อีกกลุ่มเป็นรถยนต์เทคโนโลยีเดิม อย่างปิกอัพมาสด้า บีที-50 และมาสด้า2 ซึ่งเป็นรถที่แนะนำสู่ตลาดไทยมาระยะหนึ่ง โดยเฉพาะมาสด้า2 ที่อยู่ในช่วงปลายโมเดล แต่เป็นรถที่อยู่ในตลาดใหญ่และมีคามสำคัญ ประกอบกับตลาดรถกลุ่มนี้ชะลอตัวมาก จึงทำให้ยอดขายทั้งสอง 2 รุ่น ไปฉุดภาพรวมยอดขายมาสด้าให้ตกลงมากตามไปด้วย
“ในช่วงครึ่งปีหลังมั่นใจจะสามารถผลักดันยอดขาย ให้ดีกว่าภาพรวมของตลาดรถยนต์ไทย โดยได้เจรจากับโรงงานให้เพิ่มกำลังการผลิตรถครอสโอเวอร์รุ่นซีเอ็กซ์-5 และเก๋งมาสด้า3 ให้เพียงพอกับความต้องการลูกค้า และส่งมอบรถที่ค้างอยู่รุ่นละกว่า 3,000 คันให้ได้โดยเร็วๆ ขณะที่มาสด้า 2 ซึ่งอยู่ในช่วงปลายโมเดล จำเป็นจัดโปรโมชันสร้างแรงจูงใจ แต่จะไม่ลงไปเล่นแคมเปญแรงๆ ส่วนปิกอัพบีที-50 โปร จะเพิ่มรุ่นย่อยเพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคมากขึ้น”
สำหรับเครือข่ายการขายและศูนย์บริการ มาสด้ามีการเปิดเพิ่มอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถรองรับลูกค้าได้เหมาะสม โดยปัจจุบันมีโชว์รูมและศูนย์บริการกว่า 140 แห่งทั่วประเทศ ตั้งเป้าภายในสิ้นปีนี้จะสามารถเพิ่มผู้แทนจำหน่ายเป็น 160 แห่ง ด้วยการเพิ่มผู้จำหน่ายในกรุงเทพฯ 4 แห่ง และต่างจังหวัดหลังจากเพิ่ม 4 แห่งไปแล้ว ในครึ่งปีหลังจะขยายอีกทั้งหมด 8 แห่ง