เล็กซัสกระตุ้นตลาดให้กับแฮทช์แบ็กพลังไฮบริดมาดสปอร์ตอย่างสายพันธุ์ CT ด้วยเวอร์ชันปรับโฉมหรือไมเนอร์เชนจ์ที่แม้ว่าจะใช้สายตาสแกนกวาดแบบหยาบๆ แล้วจะเกิดข้อสงสัยว่า “ปรับตรงไหน?” แต่เชื่อเถอะว่านี่คือการปรับโฉมอย่างแน่นอน แม้ว่าจะไม่ได้มากมายอะไรก็ตาม
ย้อนความกันสักนิดสำหรับใครที่อาจจะยังไม่คุ้นเคยกับชื่อ CT (Creative Touring)ที่วางขายในรหัส CT200h เพราะนี่คือ Dedicate Hybrid Car ที่เกิดขึ้นมาทำตลาดควบคู่กับรุ่น HS250h หรือโตโยต้า ไซ (Toyota Sai) ที่มาในแบบซีดาน4 ประตู รถยนต์รุ่นนี้เปิดตัวในปี 2011 ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ถึงเวลาตามวงจรอายุตลาดพอดี
สำหรับคนที่มองผ่านๆ แล้วไม่เห็นความแตกต่างก็คงไม่แปลก เพราะจุดหลักอยู่ที่การถอดเปลี่ยนกันชนหน้าทั้งแผงด้วยการปรับ Mood & Tone ให้เข้ากับสไตล์การออกแบบใหม่ของเล็กซัส ที่มีกระจังหน้าและช่องรับลมยาวต่อเนื่องจนมีรูปทรงคล้ายกับนาฬิกาทรายหรือที่เล็กซัสเรียกว่า Spindle Grille ขณะที่ช่องสปอตไลต์ก็เปลี่ยนเป็นทรงเหลี่ยยมสูงดูแล้วคล้ายกับของที่ใช้ในพริอุส
ด้านท้ายก็มากับกันชนทรงใหม่ เช่นกันดูสวยและสปอร์ตขึ้น ส่วนไฟท้ายยังเป็นทรงเดิมแต่มีการปรับรายละเอียดภายในโคมไฟให้ดูสดใหม่ขึ้น เช่นเดียวกับล้อแม็กที่แม้ว่าจะมีขนาด 16 และ 17 นิ้วให้เลือกใช้เหมือนกับรุ่นเดิม แต่ก็เป็นลาย 10 ก้านที่ได้รับการออกแบบใหม่หมด นอกจากนั้นเล็กซัสยังบอกว่ามีการเพิ่มสีตัวถังใหม่ในโทนสีแดง ซึ่งในตอนนี้ CT200h มีขายด้วยกัน 6 โทนสี
ถึงภายนอกจะยากสัมผัสในเรื่องความเปลี่ยนแลงแต่ภายในน่าจะรู้สึกกันได้บ้างไม่มากก็น้อยเพราะมาพร้อมกับพวงมาลัยใหม่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 14.6 นิ้ว แผงหน้าจอOptitronมาพร้อมกับมอนิเตอร์ขนาด 4.2 นิ้ว แบบ TFT หรือ Thin Film Transistor และระบบ RTI หรือ Remote Touch Interface ที่เป็นแป้นคล้ายเมาส์คอมพิวเตอร์สำหรับควบคุมและเลือกโปรแกรมต่างๆ ก็ได้รับการปรับปรุงใหม่ให้ใช้งานง่ายกว่าเดิม
ในแง่ของขุมพลังสำหรับขับเคลื่อนไม่แตกต่างจากเดิมโดยใช้เครื่องยนต์แบบไฮบริดบล็อกเดียวกับพริอุสที่มีขุมพลังเบนซิน 1,800 ซีซี. 4 สูบ เป็นแรงขับเคลื่อนให้กำลัง 98 แรงม้า และเมื่อจับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าแล้วจะสามารถรีดกำลังออกมาได้ 134 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 21.0 กก.-ม. พร้อมความประหยัดในระดับ 24.4 กิโลเมตรต่อลิตร
ระบบช่วงล่างมีการปรับเซตใหม่ ด้วยเป้าหมายที่นอกจากจะเป็นเรื่องของการตอบสนองต่อการยึดเกาะแล้ว ยังอยู่ที่การลดเสียงและแรงสั่นสะเทือน (NVH) ที่เกิดขึ้นในระหว่างการขับ โดยมีการเปลี่ยนทั้งบุชยางและสปริงที่มีค่า K แตกต่างจากของเดิม รวมถึงเปลี่ยนโช้กอัพและขยายขนาดของเหล็กกันโคลงหลัง
ในสหรัฐอเมริกาจะเริ่มทำตลาดต้นปีหน้า โดยยังไม่มีการเปิดเผยราคา แต่คาดว่าไม่น่าจะแตกต่างจากเดิม ซึ่งนอกจากรุ่นธรรมดาแล้วยังจะมีตัวแต่งแบบสปอร์ตที่เรียกว่า F Sport เป็นอีกทางเลือก ส่วนบ้านเราคงต้องรอสักระยะน่าจะเป็นกลางปีหน้าจึงจะได้สัมผัสกัน
***ผู้อ่านท่านใดสนใจเข้าชมงาน MOTOR EXPO 2013 ณ อิมแพค ชานเลนเจอร์ 1-3 เมืองทองธานี วันที่ 30 พ.ย.-10 ธ.ค. 56 มารับบัตรได้คนละ 2 ใบ ณ บ้านพระอาทิตย์ ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กทม. โทร 02-629-4488 มารับช่วงเวลาทำการ 8.00-18.00 น. บัตรมีจำนวนจำกัด***