เมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส รุ่นไมเนอร์เชนจ์ เปิดตัวไปในงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ 2013 แต่เพิ่งมีการนำทัพอี-คลาสใหม่มาให้สื่อมวลชนลองขับพร้อมๆ กันทุกรุ่น ไม่ว่าจะเป็นตัวถังซาลูนทุกแบบ รุ่นคูเป้ และเปิดประทุน แต่ไฮไลต์จริงๆ น่าจะเป็นรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ ไฮบริด ครั้งแรกของเมืองไทยนี่แหละ!...
แม้เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย จะจัดทริปนำรถตระกูลอี-คลาสมาให้ลองขับมากถึง 5 รุ่นครบทุกตัวถัง แต่จำนวนสื่อมวลชนที่มาก จึงไม่สามารถขับสลับสับเปลี่ยนได้ครบทุกรุ่น และประจวบเหมาะ “ASTV ผู้จัดมอเตอริ่ง” ได้ถูกจัดให้ลองขับรุ่นไฮไลต์ E300 BlueTEC HYBRID จึงสมประสงค์ที่เล็งไว้อยู่แล้ว โดยขับจากจังหวัดกระบี่ยาวมายังอำเภอหัวหิน สลับกับเพื่อนสื่อมวลชนอีกคน
เมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส ใหม่ มีการปรับหน้าตาให้แตกต่างจากรุ่นเดิมพอสมควร โดยเน้นความเป็นสปอร์ตมากขึ้น ที่เห็นชัดเจนจะเป็นแผงกระจังหน้าและโคมไฟคู่หน้า ด้วยการนำไฟแบบ LED มาใช้เต็มรูปแบบ ซึ่งโคมไฟคู่หน้าออกแบบใหม่หมดรวมชุดไฟ LED ทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน และนับเป็นครั้งแรกเช่นกันที่โคมไฟแบบ LED ได้รับการออกแบบให้อยู่รวมในกรอบเดียวกัน แต่ยังคงสื่อถึงไฟคู่หน้าแบบ “สี่ตา (four-eyed)” ที่เป็นสัญลักษณ์ดั้งเดิมของอี-คลาสไว้
ภายในห้องโดยสารมีการปรับรายละเอียดให้กลมกลืนสวยงาม และดูหรูหราขึ้น ปุ่มปรับตำแหน่งเบาะจะอยู่แผงประตูด้านข้าง ระบบมัลติมีเดีย COMAND Online ควบคุมการทำงานของวิทยุและดีวีดี สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต พร้อม controller และระบบนำทาง(แล้วแต่รุ่น) เพื่อให้ความเพลิดเพลินบันเทิงใจขณะขับขี่ รวมทั้งระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ผ่านบลูทูธ ที่ให้ความสะดวกสบายในการสื่อสารมากยิ่งขึ้น
โดยในรุ่น AMG นอกจากรูปลักษณ์ด้านนอก จะแตกต่างจากรุ่น Executive ตรงกระจังหน้าโครเมียม 2 แถบสีดำ และอุปกรณ์ตกแต่ง AMG Bodystyling รอบคัน ไม่ว่าจะเป็นกันชนหน้าแบบสปอร์ต พร้อมช่องดักลมแบบพิเศษ กันชนหลัง และสเกิร์ตข้าง ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว หลังคาซันรูฟ และยังติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเป็นกุญแจ KEYLESS GO พร้อมปุ่มสตาร์ทรถ ระบบเสียงเซอร์ราวด์จาก Harman/Kardon LOGIC7 และระบบเปิด-ปิดฝากระโปรงท้ายอัตโนมัติ เป็นต้น
ในส่วนของเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยใหม่ ที่ผสานความสะดวกสบายและความปลอดภัยเข้าไว้ด้วยกัน เรียกว่าระบบ “Mercedes-Benz Intelligent Drive” เพื่อให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้รับความปลอดภัยสูงสุด นับว่าอัดแน่นมาครบครันสูงสุดอีกยี่ห้อหนึ่งในเซกเม้นท์นี้ ยากจะระบุออกมาให้ครบบนพื้นที่รายงานการลองขับแค่นี้ จึงขอข้ามไปยังไฮไลต์ขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ ที่ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า หรือรูปแบบของไฮบริดรุ่นแรกในเมืองไทย
E300 BlueTEC HYBRID Executive ในรุ่นที่ได้ทดลองขับ รวมถึงรุ่น E300 BlueTEC HYBRID AMG Dynamic วางเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ขนาด 2,143 ซีซี เทอร์โบคู่ โดยระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงเข้าสู่ห้องเผาไหม้โดยตรง หรือ Direct Injection ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า ที่ 4,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600 - 1,800 รอบ/นาที ผสานกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า 20 กิโลวัตต์ (27 แรงม้า) ที่มีแรงบิด 280 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ หรือ 7G-Tronic Plus
การทำงานของเทคโนโลยี BlueTEC HYBRID เวลาสตาร์ทรถจะใช้มอเตอร์ไฟฟ้า ใช้พลังงานแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียว (กระแสไฟฟ้าเพียงพอ) แทนเครื่องยนต์ รวมถึงการขับเคลื่อนเมื่อเกียร์เดินหน้า หรือถอยหลัง และเมื่อเวลาแล่นด้วยความเร็วต่ำกว่า 35 กม./ชม. จะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเช่นกัน และระบบปรับอากาศยังทำงานปกติ แต่หากวิ่งเกิน 35 กม./ชม. จะขับเคลื่อนโดยใช้เครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว และไปหมุนมอเตอร์ไฟฟ้าให้ทำหน้าที่ Generator ผลิตกระแสไฟฟ้าเก็บไว้ด้วย
ขณะที่รถเมื่อเร่งแซงอย่างเร็ว มอเตอร์ไฟฟ้าจะส่งกำลังขับเสริม(เพิ่มแรงบิด) ทำให้เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานประสานกัน แต่ช่วงรถยนต์แล่นไหล หรือด้วยความเร็วสูงและชะลอลง (ไม่เกิน160 กม./ชม.) ทุกครั้งที่ปล่อยคันเร่ง หรือแตะเบรกเบาๆ เครื่องยนต์จะหยุดทำงาน รถยนต์วิ่งไปต่อไปด้วยแรงเฉื่อย ระบบจะใช้แรงหมุนจากเพลาไปปั่นมอเตอร์ผลิตกระแสไฟ จากนั้นเมื่อความเร็วลดลงจนถึงระดับที่กำลังขับของมอเตอร์รักษาความเร็วนั้นต่อไปได้อีก มอเตอร์ไฟฟ้าจะส่งแรงหมุนเสริม เพื่อให้รถยนต์ยังคงวิ่งต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง โดยที่เครื่องยนต์ไม่ทำงาน และเมื่อแบตเตอรี่เหลือไม่เพียงพอขับเคลื่อน หรือเหยียบคันเร่งอีกครั้ง เครื่องยนต์จึงจะเริ่มทำงานเพื่อขับเคลื่อนรถต่อไป
ช่วงเบรกจะทำงานคล้ายๆ กับช่วงไหล และเมื่อรถหยุดหากปริมาณกระแสไฟฟ้าเพียงพอ เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าจะหยุดทำงาน แต่แอร์ยังทำงานปกติ และกรณีที่กระแสไฟฟ้าต่ำ เครื่องยนต์จะทำงานพร้อมหมุนมอเตอร์เพื่อปั่นไฟไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่
จากการทดลองขับ… ขุมพลังพร้อมจะตอบสนองมากมาย จากการช่วยกันทำงานของระบบไฮบริด เพียงกดคันเร่งม้าที่มีต่างช่วยกันตะกุยพุ่งทันที นับว่าเป็นรถที่ขับสนุก แม้จะมีขนาดใหญ่น้ำหนักมากเกือบ 2.5 ตัน หากขับในโหมดประหยัด E ซึ่งเป็นการนำระบบไฮบริดมาใช้เต็มรูปแบบ คันเร่งอาจจะรู้สึกช้าไปนิดๆ แต่ไม่มาก และเมื่อเปลี่ยนมาเป็นโหมด S การทำงานไวขึ้น และขับสนุกกว่า แต่น่ารำคาญตรงปุ่มเปลี่ยนโหมด ที่มาอยู่ข้างปุ่มควบคุมจอ COMAND แถมอยู่ฝั่งคนโดยสารอีก ทำให้ต้องยื่นมือไปปรับเสียจังหวะขับขี่ไปหน่อย
ขณะที่เกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ ทำงานไหลลื่นดีทีเดียว อาจจะสะดุดนิดๆ ช่วงลงมาเกียร์ต่ำ การบังคับควบคุมต่างๆ ให้ความมั่นใจดี ไม่ว่าจะเข้าโค้ง หรือหักหลบ ช่วงล่างตามสไตล์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ค่อนข้างทำออกมานุ่มนวล อาจจะไม่ถูกใจกับคนที่ชื่นชอบแนวสปอร์ต
ในการขับจะมีการใช้ความเร็วต่ำไปจนถึงสูงๆ แต่ส่วนใหญ่เฉลี่ยอยู่ประมาณ 140-160 กม./ชม. เพื่อเร่งเวลาให้ถึงหัวหินไม่มืดค่ำเกินไป เพราะออกจากกระบี่เที่ยงกว่าๆ ซึ่งทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย น่าจะประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้ บางจุดจึงได้อำนวยความสะดวกการจราจรให้ด้วย อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงบนมาตรวัดอยู่ที่ 7.2 ลิตร/ 100 กม. หรือประมาณ 13.9 กม./ลิตร แต่ในสภาพการวิ่งความเร็วสูงตลอด และยังสลับกับการลองใช้โหมด S ถือเป็นอัตราที่น่าพอใจทีเดียว
สำหรับขากลับได้ลองขับสั้นๆ กับรุ่น E200 Executive วางเครื่องยนต์เบนซิน 1,991 ซีซี 184 แรงม้า หากเทียบกับตัวไฮบริดอืดอย่างเห็นได้ชัดเจน ดูแล้วน่าจะเหมาะกับการเป็นรถประจำตำแหน่งให้ผู้บริหารนั่งมากกว่า แต่ถ้าจะขับเองและพร้อมเพิ่มเงินอีก 3 แสนบาท…
ขอเลือกซื้อรุ่น E300 BlueTEC HYBRID Executive ราคา 3,690,000 บาท ซึ่งให้ทั้งความแรงและประหยัดเชื้อเพลิง หรือหากอยากได้รูปลักษณ์สปอร์ต ต้องเป็นรุ่นชุดแต่ง AMG แต่นั่นหมายถึงต้องจ่ายเงิน 4,090,000 บาท!!
***ผู้อ่านท่านใดสนใจเข้าชมงาน MOTOR EXPO 2013 ณ อิมแพค ชานเลนเจอร์ 1-3 เมืองทองธานี วันที่ 30 พ.ย.-10 ธ.ค. 56 มารับบัตรได้คนละ 2 ใบ ณ บ้านพระอาทิตย์ ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กทม. โทร 02-629-4488 มารับช่วงเวลาทำการ 8.00-18.00 น. บัตรมีจำนวนจำกัด***