จากการแข่งขันกีฬามอเตอร์สปอร์ตระดับแถวหน้าของโลกไม่ว่าจะเป็น -ฟอร์มูร่า วัน - โมโตจีพี - เลอมังส์ 24 ชั่วโมง เรามักจะเห็นโลโก้ “เชลล์” เข้าไปมีส่วนร่วมกับรายการใหญ่ดังกล่าวตลอดช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา นั้นหมายความว่าเชลล์ ให้ความสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยใช้การแข่งขันรถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ มาต่อยอดเทคโนโลยีของผลิตภัณฑ์…..จากสนามแข่งสู่ท้องถนนเพื่อลูกค้าทั่วโลก
แน่นอนสองผู้บริหาร ยอร์ก แลนซอฟ นักวิทยาศาสตร์ บริษัท เชลล์ โกลบอล โซลูชัน ประเทศเยอรมนี และ กาย ลูเวท ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นเพื่อยานยนต์ บรัษัท เชลล์ โกลบอล โซลูชัน ประเทศอังกฤษ จะมาตอบปัญหาข้อข้องใจในการพัฒนาน้ำมันหล่อลื่นทั้งรถยนต์ และรถมอเตอร์ไซค์ รวมถึงการพัฒนาสูตรน้ำมันสำหรับรถแข่งมาสู่ท้องตลาดได้อย่างไร
เชลล์ ได้มีการร่วมมือกับ เฟอร์รารี่ และดูคาติ มานานแค่ไหนแล้ว
เราร่วมมือกับ เฟอร์รารี่ มานานมากประมาณ 7 ปี และเป็นแชมป์มาตลอด ถือเป็นการทำงานร่วมกันที่เยี่ยมมาก และสิ่งที่เราได้รับนอกจากน้ำมันที่ได้รับการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพและออกจำหน่ายแล้ว ภาพลักษณ์ของเชลล์ที่ติดไปกับรถเฟอร์รารี่ ส่งผลให้เชลล์กลายเป็นน้ำมันที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะรถซูเปอร์คาร์อย่างเฟอร์รารี่ยังให้การยอมรับ
ขณะที่การแข่งขันมอเตอร์ไซค์ระดับโลก “โมโตจีพี” นั้นเชลล์ ได้ร่วมมือกับ คูคาติ ผู้ผลิตรถซูเปอร์ไบค์ระดับพรีเมียมมากว่า 13 ปี โดยปีนี้มีผู้เชี่ยวชาญในสาขาเฉพาะ อาทิ นักเคมี วิศวกร และช่างเทคนิค จำนวนทั้งสิ้น 12 คน เข้าร่วมทำงานในเชิงเทคนิคกับดูคาติ คาร์เซ่ ทำการวิจัยและพัฒนาน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่นประสิทธิภาพสูงเพื่อให้สมรรถนะสูงสุดกับเครื่องยนต์ของทีมดูคาติ
ทำไมเชลล์ต้องทำงานร่วมกับกีฬามอเตอร์สปอร์ต
เราต้องการพัฒนาไปพร้อมกับผู้ผลิตเครื่องยนต์ เชลล์ไม่สามารถพัฒนาน้ำมันขึ้นเองได้ โดยที่ไม่รู้ว่าเครื่องยนต์เป็นอย่างไร แต่ถ้าได้มีการทดสอบ ลองใช้กับเครื่องยนต์ ก็จะสามารถทราบถึงการพัฒนา การผลิตน้ำมันออกมาให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์ ฉะนั้นการร่วมมือทางเทคนิคกับบริษัทยานยนต์ต่าง ๆ ถ้าเป็นมอเตอร์ไซค์คือ ดูคาติ ส่วนรถเป็น เฟอร์รารี่ เชลล์ก็จะทราบว่าเครื่องยนต์มันถูกปรับเปลี่ยนเช่นไร เราก็จะพัฒนาน้ำมันให้สอดคล้องกับรถควบคู่กันไป
ในการพัฒนา มีล้มเหลวบ้างไหม
ทุกครั้งในการพัฒนาเราพยายามไปจนถึงขีดจุดจำกัดของมันเสมอ เพื่อให้รู้ถึงสมรรถนะของเครื่องยนต์ที่ทำได้ขีดสุด แต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งที่ทำขึ้นมันจะ 100 % หรือเปล่า ทุกครั้งทำเกิน 100 อยู่แล้ว อย่างไรเชลล์ต้องพยายามคิดค้น หาจุดบกพร่องและนำมาปรับปรุง แต่หากเกิดการผิดพลาดต้องเกิดขึ้นในช่วงทดสอบก่อนการแข่งขันเท่านั้น
การแข่งขันโมโตจีพี ขยับเครื่องมาเป็น 1000 ซีซี มีการปรับสูตรไหม
มันท้าทาย ดังนั้นในปีหน้าเชลล์ได้มีการปรับเปลี่ยนสูตรใหม่ทั้งหมด เนื่องจากเครื่องแรงขึ้น แต่ยังไม่สามารถบอกอะไรได้ตอนนี้ แต่เชื่อมั่นได้ว่าการพัฒนาน้ำมันใหม่จะต้องสามารถแข่งขันได้ ขณะเดียวกันทางเชลล์ก็ต้องการความคิดเห็นจากทีมดูคาติว่าต้องการอะไร หรือว่าใช้น้ำมันแล้วเป็นอย่างไร ทางเราจะได้นำไปพัฒนาต่อ แต่หัวใจหลักในการพัฒนาคือต้องเพิ่มสมรรถนะให้กับเครื่องยนต์ พละกำลัง แรง วิ่งได้เร็วขึ้นไม่มีการดร๊อป
เราไม่มีสูตรตายตัว ขณะเดียวกันดูคาติก็ไม่มีเครื่องยนต์แบบเดียว ดังนั้นเชลล์ต้องพัฒนาไปพร้อม ๆ กับดูคาติ เมื่อดูคาติเปลี่ยนเครื่องยนต์ก็ต้องปรึกษาเชลล์ก่อนด้วย เพราะเราต้องทำงานร่วมกัน
ส่วนน้ำมันเครื่องสำหรับการแข่งขันจะมีการเปลี่ยนถ่ายตลอดเวลาทั้งตอนซ้อมและตอนแข่งขัน ทางเชลล์จะนำน้ำมันที่ถูกถ่ายออกมาไปยังห้องแล็บที่เยอรมนี เพื่อทำการวิเคราะห์ว่ามีค่าการสึกหรอ โลหะชิ้นส่วนปะปนมากน้อยแค่ไหน และพัฒนาให้ดีขึ้นต่อไป และเราต้องส่งผลวิเคราะห์ ผลทดสอบ ไปยังดูคาติด้วย จะเพิ่ม-จะลดสารตัวไหน เพื่อให้การขับขี่ที่ดีขึ้น
เชลล์ได้ประโยชน์อะไรจากตรงนี้
จากการพัฒนาร่วมกันกับดูคาติ เชลล์นำความรู้ การพัฒนาน้ำมันกับผู้เชี่ยวชาญไปพัฒนาต่อกับน้ำมันที่ใช้กับผู้ขับขี่ทั่วไป ในท้องตลาด ใช้สูตรประมาณเดียวกัน ที่สำคัญคนที่ทำงานเกี่ยวกับมอเตอร์สปอร์ตก็คือคนทำงานในออฟฟิศซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกัน เขาก็นำประสบการณ์การพัฒนาจากสนามแข่งมาใช้กับรถทั่วไป แม้สินค้าจะไม่เหมือนกันสักทีเดียวก็ตาม
นั่นหมายความว่าน้ำมันที่ขายในห้องตลาดพัฒนามาจากการแข่งขัน ฟอร์มูลา วัน หรือ การแข่งขัน เลอมังส์ 24 ชั่วโมง ซึ่งรายการหลังเป็นการแข่งทั้งวันทั้งคืน ฉะนั้นน้ำมันจึงมีผลต่อเครื่องยนต์ ต่อการแข่งขัน ถือเป็นข้อดีของการทำงานร่วมกันระหว่างเชลล์กับกีฬามอเตอร์สปอร์ต ....มันคือความได้เปรียบในการพัฒนาน้ำมันของเชลล์ และผู้ที่ได้รับประโยชน์จากตรงนี้คือ "ผู้บริโภค" นั้นเอง
