เงียบหายจากตลาด 2 ล้อไปสักพักใหญ่ สำหรับรถจักรยานยนต์ของคนไทยแบรนด์ “ไทเกอร์” จนเกิดคำถามว่าตอนนี้ยังทำตลาดอยู่หรือไม่ หรือว่ายอมยกธงขาวให้กับรถญี่ปุ่นไปหมดแล้ว หรือจะมุ่งขายแต่รถตำรวจ!?... “ปริย มโนมัยพิบูลย์” ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาการตลาด บริษัท ไบค์แคร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด พร้อมให้คำตอบ...

ภาพลักษณ์ใหม่ไทเกอร์
ยืนยันว่ายังทำตลาดในเมืองไทย ไม่ได้หายไปไหน แต่ต้องยอมรับตามตรงว่าเราไม่มีงบประมาณที่จะไปทุ่มสู้กับแบรนด์รถญี่ปุ่นได้ ไม่ว่าเรื่องของเงินทุนการทำตลาดหรือเรื่องของเทคโนโลยี ดังนั้นจึงเกิดความเปลี่ยนแปลงกับแบรนด์ไทเกอร์ เริ่มประมาณ 3 ปีก่อน เรากลับมาเน้นตลาดเฉพาะกลุ่มแนวย้อนยุค โดยใช้พื้นฐานทำสิ่งที่ถนัดในสมัยเคยทำกับคาวาซากิ คือ รถสปอร์ต จนนำมาสู่โมเดลเรโทร 110 และเรโทร สปอร์ต 110 ซึ่งเป็นสองรุ่นหลักที่มีขายอยู่ตอนนี้
เจาะตลาดรถคลาสสิก
จากการสำรวจตลาดพบว่ามีกระแสเรโทรอยู่มากทีเดียว เพราะมีคนนำรถเก่าๆ มาบูรณะใหม่ ยกตัวอย่างเช่น รถตระกูล ซี ซึ่งเป็นรถครอบครัวที่ฮิตมากในกลุ่มนี้ แต่ก่อนเราสงสัยว่ามีคนมาซื้อเครื่องยนต์สำเร็จรูปจากเราเยอะมาก ไม่รู้เอาไปทำอะไร มาทราบภายหลังว่าเอาไปใส่รถประเภทนี้ และยิ่งความนิยมดังกล่าวนับวันมีแต่จะเพิ่มขึ้น จึงมองเห็นโอกาสในการทำตลาดต่อไป

เปลี่ยนแปลงเพื่ออยู่รอด
การปรับเปลี่ยนครั้งนี้นับเป็นการรีแบรนด์ครั้งใหญ่จากรถจักรยานยนต์ที่เป็นของคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ มาสู่แบรนด์คนไทยที่ทำรถแนวคลาสสิก ตลอดจนการปรับโครงสร้างโรงงานที่สมุทรปราการ โดยหันมารับงานจ้างประกอบมากขึ้น ซึ่งกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ประมาณ 1,200 คันต่อเดือน แบ่งเป็นของไทเกอร์ 300 คัน และทำให้แบรนด์อื่นอีก 900 คัน แต่หลังจากหมดฝนปีนี้จะเข้าสู่หน้าขายอีกครั้ง มีแผนจะขยับการผลิตไทเกอร์เพิ่มเป็น 500 คัน ส่วนยี่ห้ออื่นก็ลดลงไปตามสัดส่วนที่ทำได้
เป้าหมายขายน้อยแต่อยู่นาน
สำหรับยอดขายของไทเกอร์แม้จะไม่มาก เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 300 คันต่อเดือนเท่านั้น ใกล้เคียงกับกำลังการผลิต เพราะไม่ต้องการให้ทำรถเสร็จแล้วไปจอดค้างอยู่ในสต็อค ดังนั้นยอดสะสมล่าสุด (ม.ค.-ส.ค.) มีประมาณ 2,400 คัน ขณะที่เป้าหมายการขายเราเองก็วางไว้ไม่สูงมากนัก อยากให้ทำได้จริงและเฉลี่ยอยู่เท่านี้ไปเรื่อยๆ ดีกว่า โดยขายผ่านดีลเลอร์ทั่วประเทศ 50 แห่ง แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ 10 แห่ง และต่างจังหวัดอีก 40 แห่ง

รุ่นรถและราคาในปัจจุบัน
มีทั้งหมด 4 รุ่น คือ เรโทร 110 ราคา 31,500 บาท, เรโทร สปอร์ต 110 ราคา 36,000บาท, เอฟโฟร์ 150 ราคา 45,000 บาท และล่าสุดเป็นรถสายพานที่ไม่เคยทำมาก่อน รุ่น สตีทบอมเบอร์ 150 ราคา 55,000 บาท ซึ่งเป็นโมเดลที่บริษัทญี่ปุ่น “โรดบอมเบอร์” ออกแบบและว่าจ้างให้ผลิต โดยไทเกอร์ได้รับสิทธิ์การขายรถรุ่นนี้ในประเทศไทยด้วย

แผนรับเออีซี 2015
สำหรับสตีทบอมเบอร์เป็นการต่อยอดจากรุ่นซูเมอร์ของญี่ปุ่น ครึ่งตัวรถด้านหน้าแทบจะถอดแบบมาทั้งหมด แต่ด้านหลังเป็นดีไซน์ใหม่ที่เรากับโรดบอมเบอร์ร่วมกันพัฒนาขึ้นมาเพื่อส่งขายที่ญี่ปุ่นและเวียดนามภายในปีหน้า ทั้งนี้เป็นแผนเตรียมความพร้อมก่อนเปิดรับเออีซีในปี 2015 ด้วย เนื่องจากประเทศที่หลายค่ายต่างมุ่งไปคือ เวียดนาม ด้วยกำลังซื้อและความนิยมรถจักรยานยนต์มีสูง ขณะที่การผ่านมาตรฐานและได้ขายในประเทศญี่ปุ่น จะเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ให้กับสินค้าของเราได้เป็นอย่างดี และสำหรับเป้าหมายระยะยาวอาจเปิดตลาดทุกประเทศในภูมิภาคนี้ เพราะมาเลเซียและฟิลลิปปินส์ก็มีส่งไปขายอยู่แล้ว
โครงการขายรถตำรวจ
สำหรับการประมูลงานจากทางภาครัฐอย่างรถตำรวจเป็นเรื่องของอนาคต หากถามว่ามีแผนที่จะมุ่งตลาดนี้ไหม ขณะนี้ตอบว่ายังไม่มี เพราะยังไม่เห็นว่ามีการเปิดประมูล และด้วยสภาพเราตอนนี้ ทิศทางที่กำลังมุ่งไป แผนดำเนินธุรกิจที่วางไว้ค่อนข้างแน่นพอสมควร คงไม่สามารถรับโปรเจกใหญ่ๆ ได้ขนาดนั้น อย่างไรก็ตาม เรื่องของอนาคตก็ไม่แน่นอน

ภาพลักษณ์ใหม่ไทเกอร์
ยืนยันว่ายังทำตลาดในเมืองไทย ไม่ได้หายไปไหน แต่ต้องยอมรับตามตรงว่าเราไม่มีงบประมาณที่จะไปทุ่มสู้กับแบรนด์รถญี่ปุ่นได้ ไม่ว่าเรื่องของเงินทุนการทำตลาดหรือเรื่องของเทคโนโลยี ดังนั้นจึงเกิดความเปลี่ยนแปลงกับแบรนด์ไทเกอร์ เริ่มประมาณ 3 ปีก่อน เรากลับมาเน้นตลาดเฉพาะกลุ่มแนวย้อนยุค โดยใช้พื้นฐานทำสิ่งที่ถนัดในสมัยเคยทำกับคาวาซากิ คือ รถสปอร์ต จนนำมาสู่โมเดลเรโทร 110 และเรโทร สปอร์ต 110 ซึ่งเป็นสองรุ่นหลักที่มีขายอยู่ตอนนี้
เจาะตลาดรถคลาสสิก
จากการสำรวจตลาดพบว่ามีกระแสเรโทรอยู่มากทีเดียว เพราะมีคนนำรถเก่าๆ มาบูรณะใหม่ ยกตัวอย่างเช่น รถตระกูล ซี ซึ่งเป็นรถครอบครัวที่ฮิตมากในกลุ่มนี้ แต่ก่อนเราสงสัยว่ามีคนมาซื้อเครื่องยนต์สำเร็จรูปจากเราเยอะมาก ไม่รู้เอาไปทำอะไร มาทราบภายหลังว่าเอาไปใส่รถประเภทนี้ และยิ่งความนิยมดังกล่าวนับวันมีแต่จะเพิ่มขึ้น จึงมองเห็นโอกาสในการทำตลาดต่อไป
เปลี่ยนแปลงเพื่ออยู่รอด
การปรับเปลี่ยนครั้งนี้นับเป็นการรีแบรนด์ครั้งใหญ่จากรถจักรยานยนต์ที่เป็นของคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ มาสู่แบรนด์คนไทยที่ทำรถแนวคลาสสิก ตลอดจนการปรับโครงสร้างโรงงานที่สมุทรปราการ โดยหันมารับงานจ้างประกอบมากขึ้น ซึ่งกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ประมาณ 1,200 คันต่อเดือน แบ่งเป็นของไทเกอร์ 300 คัน และทำให้แบรนด์อื่นอีก 900 คัน แต่หลังจากหมดฝนปีนี้จะเข้าสู่หน้าขายอีกครั้ง มีแผนจะขยับการผลิตไทเกอร์เพิ่มเป็น 500 คัน ส่วนยี่ห้ออื่นก็ลดลงไปตามสัดส่วนที่ทำได้
เป้าหมายขายน้อยแต่อยู่นาน
สำหรับยอดขายของไทเกอร์แม้จะไม่มาก เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 300 คันต่อเดือนเท่านั้น ใกล้เคียงกับกำลังการผลิต เพราะไม่ต้องการให้ทำรถเสร็จแล้วไปจอดค้างอยู่ในสต็อค ดังนั้นยอดสะสมล่าสุด (ม.ค.-ส.ค.) มีประมาณ 2,400 คัน ขณะที่เป้าหมายการขายเราเองก็วางไว้ไม่สูงมากนัก อยากให้ทำได้จริงและเฉลี่ยอยู่เท่านี้ไปเรื่อยๆ ดีกว่า โดยขายผ่านดีลเลอร์ทั่วประเทศ 50 แห่ง แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ 10 แห่ง และต่างจังหวัดอีก 40 แห่ง
รุ่นรถและราคาในปัจจุบัน
มีทั้งหมด 4 รุ่น คือ เรโทร 110 ราคา 31,500 บาท, เรโทร สปอร์ต 110 ราคา 36,000บาท, เอฟโฟร์ 150 ราคา 45,000 บาท และล่าสุดเป็นรถสายพานที่ไม่เคยทำมาก่อน รุ่น สตีทบอมเบอร์ 150 ราคา 55,000 บาท ซึ่งเป็นโมเดลที่บริษัทญี่ปุ่น “โรดบอมเบอร์” ออกแบบและว่าจ้างให้ผลิต โดยไทเกอร์ได้รับสิทธิ์การขายรถรุ่นนี้ในประเทศไทยด้วย
แผนรับเออีซี 2015
สำหรับสตีทบอมเบอร์เป็นการต่อยอดจากรุ่นซูเมอร์ของญี่ปุ่น ครึ่งตัวรถด้านหน้าแทบจะถอดแบบมาทั้งหมด แต่ด้านหลังเป็นดีไซน์ใหม่ที่เรากับโรดบอมเบอร์ร่วมกันพัฒนาขึ้นมาเพื่อส่งขายที่ญี่ปุ่นและเวียดนามภายในปีหน้า ทั้งนี้เป็นแผนเตรียมความพร้อมก่อนเปิดรับเออีซีในปี 2015 ด้วย เนื่องจากประเทศที่หลายค่ายต่างมุ่งไปคือ เวียดนาม ด้วยกำลังซื้อและความนิยมรถจักรยานยนต์มีสูง ขณะที่การผ่านมาตรฐานและได้ขายในประเทศญี่ปุ่น จะเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ให้กับสินค้าของเราได้เป็นอย่างดี และสำหรับเป้าหมายระยะยาวอาจเปิดตลาดทุกประเทศในภูมิภาคนี้ เพราะมาเลเซียและฟิลลิปปินส์ก็มีส่งไปขายอยู่แล้ว
โครงการขายรถตำรวจ
สำหรับการประมูลงานจากทางภาครัฐอย่างรถตำรวจเป็นเรื่องของอนาคต หากถามว่ามีแผนที่จะมุ่งตลาดนี้ไหม ขณะนี้ตอบว่ายังไม่มี เพราะยังไม่เห็นว่ามีการเปิดประมูล และด้วยสภาพเราตอนนี้ ทิศทางที่กำลังมุ่งไป แผนดำเนินธุรกิจที่วางไว้ค่อนข้างแน่นพอสมควร คงไม่สามารถรับโปรเจกใหญ่ๆ ได้ขนาดนั้น อย่างไรก็ตาม เรื่องของอนาคตก็ไม่แน่นอน