ตอนแรกมีข่าวว่าสปอร์ตรุ่นนี้สูญพันธุ์ไปจากระบบแล้ว เพราะไม่มีรุ่นใหม่ออกสู่ตลาด เนื่องจากทางไครสเลอร์ บริษัทแม่ของดอดจ์ตัดสินใจขายทิ้ง และกำลังทำสัญญากับบริษัทแห่งหนึ่งนำไปผลิตต่อ แต่สุดท้ายแล้วไวเปอร์ก็ไม่ตาย เพราะเฟียตซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในไครสเลอร์ไม่ยอมให้ขาย และปัดฝุ่นนำชื่อของไวเปอร์กลับสู่ตลาดอีกครั้ง
นี่คือโฉมใหม่ของเจ้าอสรพิษร้าย ที่มีอายุอานามในการทำตลาดมาตั้งแต่ปี 1992 โดยถ้านับตามเจนเนอเรชั่นแบบเปลี่ยนตัวถังใหม่หมดกันจริงๆ แล้ว รุ่นนี้ถือว่าเป็นแค่เจนเนอเรชั่นที่ 3 เท่านั้น แม้เอกสารข่าวของไครสเลอร์จะยืนยันว่าเป็นรุ่นที่ 5 ก็ตาม เนื่องจากไครสเลอร์นับทั้งโมเดลเชนจ์และไมเนอร์เชนจ์รวมกัน
ในรุ่นใหม่นี้มาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลง คือ ยกระดับจากการเป็นแค่รุ่นที่ขายผ่านแบรนด์ดอดจ์ มาใช้ชื่อแบรนด์ใหม่แยกต่างหากเลย โดยไวเปอร์ใหม่จะไม่แปะตราดอดจ์เหมือนกับ 2 รุ่นแรก แต่ใช้ชื่อยี่ห้อ SRT หรือ Street and Racing Technology ในการขาย
ตรงนี้แม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ SRT เข้ามาทำตลาด แต่ต้องบอกว่าเป็นครั้งแรกที่ SRT นำรถยนต์ใหม่ทั้งคันโดยยังไม่เคยผ่านแบรนด์ไหนในเครือมาก่อน เข้ามาทำตลาดภายใต้ชื่อ SRT เพราะตามปกติแล้วรถยนต์ที่ขายโดยใช้ชื่อ SRT นั้นจะเป็นโมเดลที่มีอยู่ในตลาดอยู่แล้วทั้งแบรนด์ไครสเลอร์, ดอดจ์ และจี๊ป แต่ถูกจับมาโมดิฟายเพิ่มความแรง
ตัวรถยังคงความเป็นสปอร์ตอเมริกันพันธุ์ดุในสไตล์มัสเซิลคาร์ แบบเครื่องยนต์วางด้านหน้าและขับเคลื่อนล้อหลัง ขณะที่ตัวถังมีความยาว 4.42 เมตร กว้าง 1.94 เมตร และระยะฐานล้อ 2.51 เมตร โดยในตอนแรกของการทำตลาดจะมีด้วยกัน 2 รุ่น คือ รุ่นธรรมดา (1,556กิโลกรัม) และจีทีเอส (1,521 กิโลกรัม) ซึ่งแต่งแบบสปอร์ต และมีน้ำหนักเบาขึ้น ซึ่งชิ้นส่วนตัวถภังมีการนำวัสดุอย่างอะลูมิเนียมและคาร์บอนไฟเบอร์มาผลิต
เครื่องยนต์เป็นบล็อกใหม่ ผลิตจากอะลูมิเนียมทั้งบล็อก และเป็นแบบประกอบด้วยมือ หรือ hand-Assembled โดยยังคงเอกลักษณ์ของระบบการทำงานของวาล์วในแบบ OHV หรือก้านกระทุ้ง ตัวบล็อกเป็นแบบวี10 ที่ได้รับการปรับปรุงให้มีความจุกระบอกสูบขยับขึ้นมาเป็น 8,400 ซีซี พร้อมกำลังสูงสุดที่อยู่ในระดับ 640 แรงม้า ที่ 6,150 รอบ/นาที หรือมีแรงม้าต่อลิตรที่ 76 แรงม้าต่อ 1 ลิตร และแรงบิดสูงสุด 82.8 กิโลกรัม-เมตร ที่ 4,950 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ
การทำตลาดครั้งแรกจะมีแค่ตัวถังคูเป้ทั้งในแบบธรรมดา และรุ่นที่มีน้ำหนักเบาขึ้นอย่างจีทีเอสเป็นการประเดิมตลาดก่อน ส่วนใครที่ชอบการขับแบบท้าสายลมก็ต้องรออีกสักนิด สำหรับราคาคาดว่าน่าจะอยู่ในระดับ 100,000 เหรียญ หรือบวกลบ 3 ล้านบาท และจะเริ่มขายในสหรัฐอเมริกาปลายปีนี้