ประธานใหญ่ “ฟอร์ด” บินมาไทยเปิดสายการผลิตปิกอัพ “ฟอร์ด เรนเจอร์” โฉมใหม่ รถโมเดลแรกในจำนวน 8 รุ่น ภายใต้แผน One Ford ที่จะทำตลาดภูมิภาคอาเซียนช่วง 5 ปีข้างหน้า พร้อมย้ำไทยฐานผลิต 1 ใน 3 แห่งสำคัญของเอเชียแปซิฟิก ที่จะผลักดันการเติบโต 60-70% ในทศวรรษหน้า ฟุ้งเกิดการซื้อขายชิ้นส่วนมูลค่าถึง 6 หมื่นบาท
นายอลัน มูลัลลี ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี เปิดเผยว่า ฟอร์ดเป็นผู้ลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์รายใหญ่ที่สุด เป็นอันดับ 2 ในประเทศไทย โดยได้ลงทุนไปเกือบ 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 7.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเมื่อปลายปีที่ผ่านมาใช้เงินลงทุน 350 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาท เพื่อยกระดับสายการผลิตปิกอัพฟอร์ด ที่โรงงานออโตอัลลายแอนซ์ หรือเอเอที(AAT) จังหวัดระยอง และวันนี้(28 ก.ย.) ถือเป็นการเปิดสายฟอร์ด เรนเจอร์ โฉมใหม่อย่างเป็นทางการ
“ปิกอัพฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ นับเป็นรถโมเดลแรกในจำนวน 8 รุ่น ที่จะเปิดตัวสู่ตลาดอาเซียนในช่วง 5 ปีข้างหน้า ภายใต้แผน One Ford ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์สำคัญของฟอร์ดในไทย รวมถึงประเทศต่างๆ ในอาเซียน และเอเชียแปซิฟิก ซึ่งตามกลยุทธ์ One Ford จะมีการลงทุนทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง โดยในอีก 4-5 ปีข้างหน้า จะมีการลงทุนปีละ 6 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.8 แสนล้านบาท”
ทั้งนี้อาเซียนมีศักยภาพการเติบโตอย่างมาก โดยเฉพาะทิศทางเศรษฐกิจที่จะขยายตัวในอนาคต จึงมีส่วนสำคัญที่จะส่งผลให้ตลาดรถยนต์มีขนาดใหญ่มาก และยังสะท้อนความต้องการต่อตลาดโลกด้วย โดยในอาเซียนตลาดจะเป็นรถบีและซีคาร์ อย่างรถยนต์นั่ง หรือเก๋งฟอร์ด เฟียสต้า และฟอร์ด โฟกัส ขณะที่รถอีกประเภทจะเป็นปิกอัพขนาด 1 ตัน ที่ฟอร์ดเพิ่งเปิดสายการผลิตรุ่นเรนเจอร์ใหม่ล่าสุดในครั้งนี้
นายมูลัลลีกล่าวว่า การลงทุนในไทยและภายใต้กลยุทธ์ One Ford ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวรถใหม่ที่ได้รับการตอบรับของผู้บริโภคอย่าง ฟอร์ด เฟียสต้า และปิกอัพใหม่ ฟอร์ด เรนเจอร์ ที่กำลังจะเปิดตัวสู่ตลาด รวมถึง ฟอร์ด โฟกัส ใหม่ ที่จะขึ้นไลน์ผลิตในโรงงานแห่งใหม่ของฟอร์ดในไทยปลายปีหน้า จึงเป็นรถที่ตอบสนองตลาดในประเทศ และยังส่งออกไปทั่วโลกด้วย
“เมื่อโรงงานประกอบรถยนต์ฟอร์ดแห่งใหม่ในไทยเริ่มเดินเครื่องในปีหน้า ฟอร์ดและเอเอทีที่เป็นบริษัทร่วมทุนของเรา จะมีการจัดซื้อชิ้นส่วนยานยนต์เป็นมูลค่าเกือบ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 6 หมื่นล้านบาท ผ่านเครือข่ายผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศ และจะช่วยสร้างงานราว 33,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นการจ้างงานโดยตรง 8,500 ตำแหน่ง และการจ้างงานผ่านซัพพลายเออร์และดีลเลอร์อีก 25,000 ตำแหน่ง”นายมูลัลลีกล่าว
นายโจ ฮินริคส์ รองประธานกลุ่มบริหาร และประธานฟอร์ด ประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกและแอฟริกา เปิดเผยว่า
การลงทุนของฟอร์ดและการผลิตปิกอัพเรนเจอร์ใหม่ในไทย รวมถึงรถรุ่นอื่นๆ ที่เปิดตัวใน 5 ปีข้างหน้า เป็นการตอกย้ำถึงความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของการดำเนินงานในไทย ที่จะช่วยขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การเติบโตของฟอร์ดในอาเซียน และในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยสะท้อนภาคความมุ่งมั่นและก้าวย่างที่ประสบความสำเร็จอีกขั้นของฟอร์ด ภายใต้แผนกลยุทธ์ One Ford
“ฐานการผลิตในไทยจึงมีความสำคัญต่อฟอร์ด ซึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกฟอร์ดมีศูนย์การผลิตแห่งใหม่ 7 แห่ง อยู่ที่ประเทศจีน 4 แห่ง อินเดีย 2 แห่ง และประเทศไทย 1 แห่ง โดยทุกฐานการผลิตถือเป็นตลาดที่มีการเติบโตอย่างสำคัญของภูมิภาค และจะทำให้ฟอร์ดเติบโต 60-70% ในทศวรรษข้างหน้า”
นายปีเตอร์ ฟลีท ประธานฟอร์ด อาเซียน เปิดเผยว่า การเปิดตัวรถใหม่ 8 รุ่นภายในช่วง 5 ปีข้างหน้า โดยมีปิกอัพ ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ ที่เพิ่งเปิดสายการผลิตและจะแนะนำสู่ตลาดภายในปีนี้ รวมถึงฟอร์ด โฟกัส โฉมใหม่ ซึ่งจะขึ้นไลน์ประกอบในไทยช่วงปลายปีหน้า นับเป็นกลยุทธ์สำคัญภายใต้แผน One Ford ที่สอดคล้องกับการเปิดเสรีของภูมิภาคอาเซียน หรือเออีซี(AEC) ด้วยเช่นกัน
นายอลัน มูลัลลี ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี เปิดเผยว่า ฟอร์ดเป็นผู้ลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์รายใหญ่ที่สุด เป็นอันดับ 2 ในประเทศไทย โดยได้ลงทุนไปเกือบ 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 7.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเมื่อปลายปีที่ผ่านมาใช้เงินลงทุน 350 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาท เพื่อยกระดับสายการผลิตปิกอัพฟอร์ด ที่โรงงานออโตอัลลายแอนซ์ หรือเอเอที(AAT) จังหวัดระยอง และวันนี้(28 ก.ย.) ถือเป็นการเปิดสายฟอร์ด เรนเจอร์ โฉมใหม่อย่างเป็นทางการ
“ปิกอัพฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ นับเป็นรถโมเดลแรกในจำนวน 8 รุ่น ที่จะเปิดตัวสู่ตลาดอาเซียนในช่วง 5 ปีข้างหน้า ภายใต้แผน One Ford ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์สำคัญของฟอร์ดในไทย รวมถึงประเทศต่างๆ ในอาเซียน และเอเชียแปซิฟิก ซึ่งตามกลยุทธ์ One Ford จะมีการลงทุนทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง โดยในอีก 4-5 ปีข้างหน้า จะมีการลงทุนปีละ 6 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.8 แสนล้านบาท”
ทั้งนี้อาเซียนมีศักยภาพการเติบโตอย่างมาก โดยเฉพาะทิศทางเศรษฐกิจที่จะขยายตัวในอนาคต จึงมีส่วนสำคัญที่จะส่งผลให้ตลาดรถยนต์มีขนาดใหญ่มาก และยังสะท้อนความต้องการต่อตลาดโลกด้วย โดยในอาเซียนตลาดจะเป็นรถบีและซีคาร์ อย่างรถยนต์นั่ง หรือเก๋งฟอร์ด เฟียสต้า และฟอร์ด โฟกัส ขณะที่รถอีกประเภทจะเป็นปิกอัพขนาด 1 ตัน ที่ฟอร์ดเพิ่งเปิดสายการผลิตรุ่นเรนเจอร์ใหม่ล่าสุดในครั้งนี้
นายมูลัลลีกล่าวว่า การลงทุนในไทยและภายใต้กลยุทธ์ One Ford ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวรถใหม่ที่ได้รับการตอบรับของผู้บริโภคอย่าง ฟอร์ด เฟียสต้า และปิกอัพใหม่ ฟอร์ด เรนเจอร์ ที่กำลังจะเปิดตัวสู่ตลาด รวมถึง ฟอร์ด โฟกัส ใหม่ ที่จะขึ้นไลน์ผลิตในโรงงานแห่งใหม่ของฟอร์ดในไทยปลายปีหน้า จึงเป็นรถที่ตอบสนองตลาดในประเทศ และยังส่งออกไปทั่วโลกด้วย
“เมื่อโรงงานประกอบรถยนต์ฟอร์ดแห่งใหม่ในไทยเริ่มเดินเครื่องในปีหน้า ฟอร์ดและเอเอทีที่เป็นบริษัทร่วมทุนของเรา จะมีการจัดซื้อชิ้นส่วนยานยนต์เป็นมูลค่าเกือบ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 6 หมื่นล้านบาท ผ่านเครือข่ายผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศ และจะช่วยสร้างงานราว 33,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นการจ้างงานโดยตรง 8,500 ตำแหน่ง และการจ้างงานผ่านซัพพลายเออร์และดีลเลอร์อีก 25,000 ตำแหน่ง”นายมูลัลลีกล่าว
นายโจ ฮินริคส์ รองประธานกลุ่มบริหาร และประธานฟอร์ด ประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกและแอฟริกา เปิดเผยว่า
การลงทุนของฟอร์ดและการผลิตปิกอัพเรนเจอร์ใหม่ในไทย รวมถึงรถรุ่นอื่นๆ ที่เปิดตัวใน 5 ปีข้างหน้า เป็นการตอกย้ำถึงความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของการดำเนินงานในไทย ที่จะช่วยขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การเติบโตของฟอร์ดในอาเซียน และในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยสะท้อนภาคความมุ่งมั่นและก้าวย่างที่ประสบความสำเร็จอีกขั้นของฟอร์ด ภายใต้แผนกลยุทธ์ One Ford
“ฐานการผลิตในไทยจึงมีความสำคัญต่อฟอร์ด ซึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกฟอร์ดมีศูนย์การผลิตแห่งใหม่ 7 แห่ง อยู่ที่ประเทศจีน 4 แห่ง อินเดีย 2 แห่ง และประเทศไทย 1 แห่ง โดยทุกฐานการผลิตถือเป็นตลาดที่มีการเติบโตอย่างสำคัญของภูมิภาค และจะทำให้ฟอร์ดเติบโต 60-70% ในทศวรรษข้างหน้า”
นายปีเตอร์ ฟลีท ประธานฟอร์ด อาเซียน เปิดเผยว่า การเปิดตัวรถใหม่ 8 รุ่นภายในช่วง 5 ปีข้างหน้า โดยมีปิกอัพ ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ ที่เพิ่งเปิดสายการผลิตและจะแนะนำสู่ตลาดภายในปีนี้ รวมถึงฟอร์ด โฟกัส โฉมใหม่ ซึ่งจะขึ้นไลน์ประกอบในไทยช่วงปลายปีหน้า นับเป็นกลยุทธ์สำคัญภายใต้แผน One Ford ที่สอดคล้องกับการเปิดเสรีของภูมิภาคอาเซียน หรือเออีซี(AEC) ด้วยเช่นกัน
