ขณะนี้คงไม่มีภาพยนตร์ไทยเรื่องไหนยิ่งใหญ่เท่ากับ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ผลงานกำกับฯของ ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล ที่ใช้ทุนการสร้างมหาศาลและใช้ระยะเวลาในการสร้างนานกว่า 5 ปี ภาพยนตร์เรื่องนี้เต็มไปด้วยนักแสดงมากฝีมือระดับแนวหน้าหลายคน แต่บทบาทสำคัญคือสมเด็จพระนเรศวรนั้น ตกเป็นของนายทหารผู้ไม่เคยข้องเกี่ยวกับวงการบันเทิงมาก่อน เขาคือ..."ผู้พันเบิร์ด" พันโทวันชนะ สวัสดี ปัจจุบันรับราชการอยู่ที่กองกิจการพลเรือนทหารบก กองบัญชาการทหารบก ในตำแหน่งหัวหน้าปฏิบัติการจิตวิทยา (ปจว.) แต่ใครจะรู้ ว่าหากถอดเครื่องแต่งตัวในภาพยนตร์ออกแล้ว ผู้พันเบิร์ดบอกว่าเขา คือผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น และวันนี้ "ASTV ผู้จัดการมอเตอริ่ง"จะมาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องพาหนะที่มิใช่ ช้าง ม้า แต่เป็นรถยนต์
เริ่มเรียนขับรถ
พื้นเพผมถือว่าเป็นคนเมืองกาญจน์ เพราะตอนเรียนหนังสืออยู่ที่นี่ตลอดและรับราชการทหารด้วย คือช่วงใกล้ๆ จบจากโรงเรียนนายร้อย ผมเริ่มคิดว่าจบแล้วจะไปลงที่ไหน ก็เลือกเมืองกาญจน์ครับ เป็นอันดับต้นเลย ที่เลือกมาลงเพราะจะกลับมาอยู่บ้าน ตอนเริ่มขับรถครั้งแรกอายุ 22 เริ่มช้าเหมือนกันเพราะชีวิตตั้งแต่มัธยม 5 อยู่ในกรมตลอด พอกลับมาบ้านให้พี่ที่รู้จักกันช่วยสอนให้จำได้ว่าเป็นรถกระบะ โตโยต้า ไฮลักซ์ เหตุผลในการอยากจะขับรถเป็นเพราะรู้สึกว่าเราเริ่มเรียนรู้ช้ากว่าคนอื่นมากและมันจำเป็นเพราะที่บ้านมีรถยนต์ อีกอย่างคือผมอยากขับรถเข้าไปเที่ยวในป่าบ้าง ผมฝึกอยู่ประมาณไม่กี่วันก็เป็นแล้วหลังจากนั้นขับเข้ากรุงเทพฯเลยครับ
รถคันแรก
จากนั้นก็เอารถที่บ้านมาใช้เป็น นิสสันเอ็นวี เครื่อง 1600 ซีซี รูปร่างมันเล็กเลยคล่องตัว เรียกว่าใช้ทุกวันจนปี 45 และก็เปลี่ยนมาเรื่อย ๆ หลายคันอยู่ พอมาเจอกับภรรยาเลยใช้รถคันเดียวกัน บางครั้งก็นั่งรถทัวร์ไปกลับระหว่างเมืองกาญจน์กับกรุงเทพฯ ตอนใช้เอ็นวีรู้สึกว่าเป็นรถที่ประทับใจมากเพราะมันเป็นรถคันแรกของผมและใช้ประโยชน์จากรถคันนี้แบบคุ้มค่าจริงๆครับ
รถที่ใช้ปัจจุบัน
ตอนนี้ผมใช้โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ สมาร์ท สีดำเครื่อง 3000 ซีซี เกียร์ออโต ผมใช้มาประมาณ 4 ปีแล้ว ซึ่งรถประเภทนี้เหมาะกับการทำงานของผมมากเวลาขับไปถ่ายภาพยนตร์หรือขับไปมาระหว่างกรุงเทพฯกับบ้าน ถึงแม้จะใช้มา 4ปีแล้วแต่ผมยังไม่คิดเปลี่ยนเพราะชอบคันนี้มาก นั่งสบายอีกทั้งทัศนวิสัยดีเวลาขับ ไม่ได้แต่งเพิ่มอะไรเลย ส่วนการดูแลรถ ผมจะล้างรถเองอาทิตย์ละครั้ง คือล้างเอง ดูดฝุ่นเอง เพราะผมมีความรู้สึกว่าการที่เราล้างรถเองเราจะเห็นรายละอียดต่างๆมีรอยขีดข่วนอะไรไหม ตอนอยู่ในกรมผมก็ล้างรถเองมันไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรเลยครับ
รถในฝัน
เป็นรถฮัมเมอร์ เพราะมันดูลุยๆดีครับ จริงๆก่อนหน้านี้ผมเคยได้ขับฮัมเมอร์ตอนเป็นทหารในกรม ซึ่งรูปร่างก็คล้ายกับรถฮัมเมอร์ที่เค้าขายกันในปัจจุบัน แต่คันใหญ่มาก กว้างสองเมตรกว่าๆ ตอนฝึกในป่าจะใช้บ่อยจะขับทุกครั้งที่ออกฝึก เลยชอบ แต่ผมคิดว่าราคามันสูงเกินและการใช้งานมันไม่เหมาะกับชีวิตจริงของเรา เลยเป็นแค่รถในฝันเท่านั้น
ฝากเรื่องการขับรถ
การใช้ถนนสาธารณะนอกจากกฎหมายที่มีบังคับแล้วควรมีมารยาทและความเอื้ออาทรต่อกัน เพื่อให้มีทั้งความราบรื่นและความปลอดภัย ที่ผมอยากให้ความสำคัญคือเรื่องการใช้สัญญาณไฟ หรือการเปิดไฟเลี้ยวระยะกระชั้นชิดเกินไป อีกเรื่องคือการให้ทางกันเพราะว่าเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีน้ำใจกันอย่างเวลาออกจากห้างถ้าเราผลัดกันไปทีละคันมันจะเร็วขึ้นไม่ต้องมาเบียดเสียดกัน
วางแผนอนาคตต่อไป
จากนายทหารคนหนึ่งที่ได้มาสวมบทบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชในภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ถึง 3 ภาค ผู้พันเบิร์ดบอกว่า งานแสดงเป็นงานที่สนุกและไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลย แม้ว่าต้องใช้เวลา 4-5 วันต่อสัปดาห์ ในการถ่ายทำภาพยนตร์ภาค 3 ซึ่งหากมีเวลาว่างจากการแสดงเมื่อไหร่ ผู้พันเบิร์ดก็จะไปฝึกขี่ม้าและขี่ช้างให้มีความคุ้นเคยเพราะตลอดเวลากว่า 5 ปีต้องใช้บ่อยมากเปลี่ยนหลายครั้ง
"ม้าที่ผมใช้ประจำมี 2 ตัว บุคลิกเขาจะต่างกันและการใช้งานก็ต่างกันไป บางฉากเราต้องใช้ม้า 2 ตัวในฉากเดียว เราต้องรู้นิสัยเขาด้วย เขาอยู่กับผมมาตั้งแต่ภาค 2 ซึ่งเราผูกพันกันมาก ถ้าหนังจบแล้วผมวางแผนจะเอาเขาไปเลี้ยง จนกว่าจะตายจากกัน" ในอนาคตเขาวางแผนไว้ว่าอีกประมาณ 2 ปี จากนี้อยากจะเปิดโรงเรียนสอนขี่ม้าสำหรับประชาชนทั่วไปรวมถึงการแสดงละครแอ็กชั่นด้วย
ผู้ชายคนนี้ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นนักแสดง แต่เกิดมาเพื่อเป็นทหาร แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็สามารถทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายทั้ง 2 อย่างได้ดีเกินคาด....โดยเฉพาะบทบาทด้านการแสดงที่ผู้พันเบิร์ดบอกว่า อยากให้คนไทยไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้กันเยอะๆ เพราะทีมงานทุกคนตั้งใจทำงานแบบเกินร้อย
เริ่มเรียนขับรถ
พื้นเพผมถือว่าเป็นคนเมืองกาญจน์ เพราะตอนเรียนหนังสืออยู่ที่นี่ตลอดและรับราชการทหารด้วย คือช่วงใกล้ๆ จบจากโรงเรียนนายร้อย ผมเริ่มคิดว่าจบแล้วจะไปลงที่ไหน ก็เลือกเมืองกาญจน์ครับ เป็นอันดับต้นเลย ที่เลือกมาลงเพราะจะกลับมาอยู่บ้าน ตอนเริ่มขับรถครั้งแรกอายุ 22 เริ่มช้าเหมือนกันเพราะชีวิตตั้งแต่มัธยม 5 อยู่ในกรมตลอด พอกลับมาบ้านให้พี่ที่รู้จักกันช่วยสอนให้จำได้ว่าเป็นรถกระบะ โตโยต้า ไฮลักซ์ เหตุผลในการอยากจะขับรถเป็นเพราะรู้สึกว่าเราเริ่มเรียนรู้ช้ากว่าคนอื่นมากและมันจำเป็นเพราะที่บ้านมีรถยนต์ อีกอย่างคือผมอยากขับรถเข้าไปเที่ยวในป่าบ้าง ผมฝึกอยู่ประมาณไม่กี่วันก็เป็นแล้วหลังจากนั้นขับเข้ากรุงเทพฯเลยครับ
รถคันแรก
จากนั้นก็เอารถที่บ้านมาใช้เป็น นิสสันเอ็นวี เครื่อง 1600 ซีซี รูปร่างมันเล็กเลยคล่องตัว เรียกว่าใช้ทุกวันจนปี 45 และก็เปลี่ยนมาเรื่อย ๆ หลายคันอยู่ พอมาเจอกับภรรยาเลยใช้รถคันเดียวกัน บางครั้งก็นั่งรถทัวร์ไปกลับระหว่างเมืองกาญจน์กับกรุงเทพฯ ตอนใช้เอ็นวีรู้สึกว่าเป็นรถที่ประทับใจมากเพราะมันเป็นรถคันแรกของผมและใช้ประโยชน์จากรถคันนี้แบบคุ้มค่าจริงๆครับ
รถที่ใช้ปัจจุบัน
ตอนนี้ผมใช้โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ สมาร์ท สีดำเครื่อง 3000 ซีซี เกียร์ออโต ผมใช้มาประมาณ 4 ปีแล้ว ซึ่งรถประเภทนี้เหมาะกับการทำงานของผมมากเวลาขับไปถ่ายภาพยนตร์หรือขับไปมาระหว่างกรุงเทพฯกับบ้าน ถึงแม้จะใช้มา 4ปีแล้วแต่ผมยังไม่คิดเปลี่ยนเพราะชอบคันนี้มาก นั่งสบายอีกทั้งทัศนวิสัยดีเวลาขับ ไม่ได้แต่งเพิ่มอะไรเลย ส่วนการดูแลรถ ผมจะล้างรถเองอาทิตย์ละครั้ง คือล้างเอง ดูดฝุ่นเอง เพราะผมมีความรู้สึกว่าการที่เราล้างรถเองเราจะเห็นรายละอียดต่างๆมีรอยขีดข่วนอะไรไหม ตอนอยู่ในกรมผมก็ล้างรถเองมันไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรเลยครับ
รถในฝัน
เป็นรถฮัมเมอร์ เพราะมันดูลุยๆดีครับ จริงๆก่อนหน้านี้ผมเคยได้ขับฮัมเมอร์ตอนเป็นทหารในกรม ซึ่งรูปร่างก็คล้ายกับรถฮัมเมอร์ที่เค้าขายกันในปัจจุบัน แต่คันใหญ่มาก กว้างสองเมตรกว่าๆ ตอนฝึกในป่าจะใช้บ่อยจะขับทุกครั้งที่ออกฝึก เลยชอบ แต่ผมคิดว่าราคามันสูงเกินและการใช้งานมันไม่เหมาะกับชีวิตจริงของเรา เลยเป็นแค่รถในฝันเท่านั้น
ฝากเรื่องการขับรถ
การใช้ถนนสาธารณะนอกจากกฎหมายที่มีบังคับแล้วควรมีมารยาทและความเอื้ออาทรต่อกัน เพื่อให้มีทั้งความราบรื่นและความปลอดภัย ที่ผมอยากให้ความสำคัญคือเรื่องการใช้สัญญาณไฟ หรือการเปิดไฟเลี้ยวระยะกระชั้นชิดเกินไป อีกเรื่องคือการให้ทางกันเพราะว่าเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีน้ำใจกันอย่างเวลาออกจากห้างถ้าเราผลัดกันไปทีละคันมันจะเร็วขึ้นไม่ต้องมาเบียดเสียดกัน
วางแผนอนาคตต่อไป
จากนายทหารคนหนึ่งที่ได้มาสวมบทบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชในภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ถึง 3 ภาค ผู้พันเบิร์ดบอกว่า งานแสดงเป็นงานที่สนุกและไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลย แม้ว่าต้องใช้เวลา 4-5 วันต่อสัปดาห์ ในการถ่ายทำภาพยนตร์ภาค 3 ซึ่งหากมีเวลาว่างจากการแสดงเมื่อไหร่ ผู้พันเบิร์ดก็จะไปฝึกขี่ม้าและขี่ช้างให้มีความคุ้นเคยเพราะตลอดเวลากว่า 5 ปีต้องใช้บ่อยมากเปลี่ยนหลายครั้ง
"ม้าที่ผมใช้ประจำมี 2 ตัว บุคลิกเขาจะต่างกันและการใช้งานก็ต่างกันไป บางฉากเราต้องใช้ม้า 2 ตัวในฉากเดียว เราต้องรู้นิสัยเขาด้วย เขาอยู่กับผมมาตั้งแต่ภาค 2 ซึ่งเราผูกพันกันมาก ถ้าหนังจบแล้วผมวางแผนจะเอาเขาไปเลี้ยง จนกว่าจะตายจากกัน" ในอนาคตเขาวางแผนไว้ว่าอีกประมาณ 2 ปี จากนี้อยากจะเปิดโรงเรียนสอนขี่ม้าสำหรับประชาชนทั่วไปรวมถึงการแสดงละครแอ็กชั่นด้วย
ผู้ชายคนนี้ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นนักแสดง แต่เกิดมาเพื่อเป็นทหาร แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็สามารถทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายทั้ง 2 อย่างได้ดีเกินคาด....โดยเฉพาะบทบาทด้านการแสดงที่ผู้พันเบิร์ดบอกว่า อยากให้คนไทยไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้กันเยอะๆ เพราะทีมงานทุกคนตั้งใจทำงานแบบเกินร้อย
