xs
xsm
sm
md
lg

ย้อนเส้นทาง 35 ปี “มิตซูบิชิ แลนเซอร์”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หลายคนมีโอกาสเป็นเจ้าของรถยนต์รุ่นนี้เป็นคันแรก หรือบางคนอาจได้เป็นของขวัญเมื่อก้าวเข้าสู่ในรั้วมหาวิทยาลัย ขณะที่บางคนได้มันมาหลังเรียนจบ และก็มีจำนวนไม่น้อยที่ต้องทำงานหนัก เพื่อเก็บหอมรอบริบหวังได้ครอบครองรถเล็กๆคันนี้

ตลอดระยะเวลากว่า 36 ปี ของ “มิตซูบิชิ แลนเซอร์” ที่โลดเล่นอยู่ในตลาดโลก และกว่า 35 ปี ที่ทำตลาดในประเทศไทย ถือเป็นบทพิสูจน์ถึงความยอดเยี่ยม ทั้งรูปทรงอันโดดเด่นพร้อมสมรรถนะ ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานปกติในหมู่ชนชั้นกลาง รวมถึงบรรดาวัยรุ่นที่ชอบการแต่งซิ่งวิ่งเท่
เจนเนอเรชั่นที่ 1
สำหรับมิตซูบิชิ แลนเซอร์ แนะนำสู่ตลาดโลกรวมทั้งเมืองไทยมาตั้งแต่ปี 1973 จนถึงปัจจุบันรวม 8 เจนเนอเรชั่นแล้ว โดยรุ่นแรกเปิดตัวในตลาดญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 10 มกราคม 1973 เพื่อให้เป็นทางเลือกใหม่ในกลุ่มรถยนต์ขนาดกลางที่อยู่ระหว่างรถยนต์ขนาดเล็กรุ่น มินิกา และรถยนต์ครอบครัวรุ่นยอดนิยมตระกูลกาแลนท์ ซึ่งมีให้เลือกทั้งแบบซีดาน 4 ประตู และซีดาน 2 ประตู ก่อนจะมีการแนะนำรุ่นสเตชั่นแวกอน 5 ประตูในภายหลัง โดยวางเครื่องยนต์ 3 ขนาด ทั้งตระกูล NEPTUNE 4 สูบ OHV 1,200 ซีซี MCA-I 70 แรงม้า ตระกูล SATURN 4 สูบ SOHC 1,400 ซีซี 92 แรงม้า และ 1,600 ซีซี 100 แรงม้า ทั้งนี้มิตซูบิชิ แลนเซอร์รุ่นแรกนี้สามารถสร้างชื่อเสียงด้วยการคว้ารางวัลจากการแข่งแรลลี่ต่างๆทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น Australia Southern Cross Rally , Bandama Rally รวมทั้งการแข่งขัน East African Safari Rally (WRC)

สำหรับประเทศไทย แลนเซอร์รุ่นแรกนี้เริ่มทำตลาดประมาณปี 1974 ด้วยไฟท้ายรูปตัว C ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้กระจังหน้าใหม่ พร้อมไฟท้ายรูปตัว L ในช่วงปี 1975 และเปลี่ยนมาใช้กระจังหน้าซี่นอน พร้อมไฟท้ายแบบนอน ประมาณปี 1977 นอกจากนี้ยังมีการนำรุ่นพิเศษ แลนเซอร์ Celeste 2 ประตู เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยในช่วงปี 1975 – 1982
เจนเนอเรชั่นที่  2
เจนเนอเรชั่นที่ 2 มิตซูบิชิ แลนเซอร์ EX หรือ มิตซูบิชิ แลนเซอร์ EXCEED คนไทยรู้จักกันในชื่อรุ่น "กล่องไม้ขีด" เปิดตัวในญี่ปุ่นเมื่อ 27 ตุลาคม 1979 ในขณะที่ประเทศไทย แลนเซอร์ EX ทำตลาดในช่วงปี 1980-1985 ด้วยเครื่องยนต์ SATURN 1,400 ซีซี โดยได้รับความนิยมจากลูกค้าชาวไทยทั้งในฐานะรถยนต์ครอบครัว และรถยนต์ที่เหมาะสำหรับการนำไปดัดแปลงเพื่อการแข่งขันแรลลี่ครอสในสนามต่างๆ จนกวาดรางวัลมาแล้วนับไม่ถ้วน
เจนเนอเรชั่นที่  3
เจนเนอเรชั่นที่ 3 แลนเซอร์ ฟิโอเร (LANCER FIORE) เปิดตัวในวันที่ 22 มกราคม 1982 ถือเป็นแลนเซอร์รุ่นแรกที่ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า โดยเป็นการพัฒนาและใช้โครงสร้างตัวถังร่วมกับ มิราจ 4 ประตู ซึ่งเปิดตัวพร้อมกัน สำหรับแลนเซอร์ ฟิโอเร ถูกนำเข้ามามาประกอบเพื่อทำตลาดในเมืองไทยภายใต้ชื่อ Lancer F เครื่องยนต์ 1,400 ซีซี ในช่วงปี 1983-1985
เจนเนอเรชั่นที่  4
เจนเนอเรชั่นที่ 4 แลนเซอร์ เทอร์โบ และ แลนเซอร์แชมป์ เปิดตัว ในญี่ปุ่นด้วยชื่อ แลนเซอร์ ฟิโอเร (LANCER FIORE) พร้อมกับมิราจรุ่นที่ 2 ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้น ภายใต้แนวคิด " An Active and Casual Vehicle” โดยมีความโดดเด่น ด้วยรูปลักษณ์ภายนอก เฉียบคม สะดุดตา มีทางเลือกที่หลากหลาย ตั้งแต่รุ่นที่เน้นความประหยัด จนถึงรุ่นที่เน้นสมรรถนะสูงๆ ขับขี่ได้ง่าย ให้ความสะดวกสบายด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ดึงดูดใจ

โดดเด่นด้วยมาตรวัดความเร็วดิจิตอล และพื้นที่ห้องโดยสารกว้างขวางพร้อมการวางขุมพลังตระกูล ORION-II โดยเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยตั้งแต่ปี 1985 มีเครื่องยนต์ทั้ง 1,300 ซีซี 1,500 ซีซี และ 1,600 ซีซี เทอร์โบ ต่อมาจึงเปลี่ยนชื่อมาเป็น LANCER CHAMP และเปิดตัวในวันที่ 4 กรกฎาคม 1986 จากนั้นในปี 1987 มีการเปิดตัวรุ่น CHAMP-II ตามมาด้วยรุ่นพิเศษ แชมป์ เลดี้ ซึ่งนอกจากจะมีของแถม เป็นเครื่องสำอางจาก AVON และตุ๊กตาหมีตัวโตแล้ว แชมป์ เลดี้ ยังเคยเป็นรถยนต์ที่เคียงคู่กับนางสาวไทยในปีนั้นที่มีชื่อว่า "พรทิพย์ นาคหิรัญกนก" ซึ่งสามารถคว้าตำแหน่งนางงามจักรวาลมาครองในปี 1988

จากนั้นมิตซูบิชิกระตุ้นตลาดอีกครั้งด้วยรุ่น NEW GENERATION POWER ในปี 1988 โดยได้มีการปรับปรุงอัตราทดเกียร์ใหม่ รวมทั้งทดเฟืองท้ายให้จัดขึ้น เพื่อให้มีสมรรถนะที่ดีขึ้น ก่อนจะเพิ่มรุ่นพิเศษ Lancer Black Knight ในปี 1989 ตกแต่งในสไตล์สปอร์ตดุดันกว่าปกติ ด้วยชุดสปอยเลอร์หลัง และนำรุ่นเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร กลับมาทำตลาดอีกครั้ง ในชื่อ LANCER 1.5 เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ ส่วนรุ่นเกียร์อัตโนมัติ 3 จังหวะ เปิดตัวในปี 1990 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่มิตซูบิชิสามารถเปิดหน้าประวัติศาสตร์ด้านการส่งออกรถยนต์ของมิตซูบิชิ รวมทั้งการส่งออกรถยนต์ของเมืองไทยโดยการเริ่มส่งออกแชมป์ทู ไปยังไซปรัส รวมทั้งแถลงความสำเร็จในการส่งออก มิตซูบิชิ แลนเซอร์ แชมป์ สู่ประเทศแคนาดาเกินกว่า 10,000 คัน

ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 1991 มิตซูบิชิ ได้เปิดตัว แลนเซอร์ แฮตช์แบ็ก หรือที่เรียกกันว่า "แชมป์ 3 ประตู" สู่ตลาดเมืองไทย เพื่อเอาใจสาววัยทำงานยุคใหม่ โดยมี หัทยา เกตุสังข์ ดีเจ และพิธีกรรายการชื่อดัง ในยุคนั้น เป็นพรีเซนเตอร์ ก่อนจะปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ ให้กับทุกรุ่น และเรียกชื่อรุ่นใหม่ว่า CHAMP-III ในต้นปี 1992 ซึ่งมีทั้งรุ่น ซีดาน 1.3 ลิตร กับ 1.5 ลิตร และแฮตช์แบ็ก 1.5 ลิตร จากนั้น ในปี 1993 ปรับโฉมกันอีกครั้ง โดยเหลือทำตลาดเพียงรุ่น 4 ประตูซีดาน ติดตั้ง แคตาไลติค คอนเวอร์เตอร์ ก่อนจะยุติสายการผลิตไปในปี 1995
เจนเนอเรชั่นที่  5
เจนเนอเรชั่นที่ 5 Active Saloons เปิดตัวในวันที่ 10 มิถุนายน 1988 โดยเป็นการเปลี่ยนมาใช้ตัวถัง ฟาสท์แบ็ค 5 ประตู ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นและใช้ชิ้นส่วนอะไหล่ร่วมกับ มิราจ รุ่นที่ 3 และมีแนวเส้นสายตัวถังในทิศทางเดียวกันกับ มิตซูบิชิ กาแลนท์ VR-4 ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในตลาดโลก โดยวางเครื่องยนต์หลายขนาด ตั้งแต่ 1,300 ซีซี 1,500 ซีซี และ 1,600 ซีซี เทอร์โบ 145 แรงม้า ก่อนจะปรับโฉม เพิ่มกำลังขึ้นเป็น 160 แรงม้า ในปี 1990
เจนเนอเรชั่นที่  6
เจนเนอเรชั่นที่ 6 เผยโฉมครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม 1991 ถือเป็นรุ่นที่นำชื่อของแลนเซอร์กลับมาสู่การแข่งขันแรลลี่โลกอีกครั้ง โดยรูปลักษณ์ภายนอกถูกออกแบบและพัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด SIMPLE & RICH มีขุมพลังมากถึง 7 แบบ สำหรับเมืองไทยแลนเซอร์รุ่นนี้ถูกนำมาขึ้นสายการผลิตเพื่อจำหน่ายโดยเปิดตัวตั้งแต่ 13 สิงหาคม 1992 และมีการปรับโฉมต่อเนื่องทุกปี โดยในปี 1993 สามารถทำสถิติยอดขายต่อรุ่นต่อปีสูงที่สุดในกลุ่มรถยนต์นั่งด้วยยอดขายรวม 23,755 คัน

จากนั้นในปี 1994 ได้มีการปรับโฉมด้วยกระจังหน้าแบบใหม่ มีครีบแนวตั้งซ้อนกันถี่ๆ เปลี่ยนล้ออัลลอยเป็นแบบ 3 ก้าน และเพิ่มไฟตัดหมอกในรุ่น 1.6 ลิตร พร้อมการปรับปรุงเครื่องยนต์ 4G15 มาใช้ระบบหัวฉีด ECI MULTI จนแรงขึ้นเป็น 94 แรงม้า มีทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และอัตโนมัติ 3 จังหวะ และยกเลิก รุ่น 1800 GTi จากนั้นในปี 1995 มิตซูบิชิ ยกเลิกการประกอบ แลนเซอร์ แชมป์ ในไทย และนำรุ่น 1300 ซีซี กลับมาทำตลาดใหม่อีกครั้ง ในชื่อใหม่ 1.3 EL และปรับออพชั่น ในรุ่น 1.5 ลิตร โดยเปลี่ยนมาใช้ล้ออัลลอย แบบ 3 ก้าน สีขอบประตูเป็นสีเดียวกับตัวถัง ซึ่งถือเป็นการปรับโฉมครั้งสุดท้ายของแลนเซอร์ อี-คาร์ ในเมืองไทย โดยตลอดอายุตลาดในเมืองไทย แลนเซอร์ อี-คาร์ กลายเป็นรถยนต์ที่สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ในฐานะรถยนต์นั่งมิตซูบิชิที่ขายดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา ด้วยตัวเลขยอดขายสะสมรวมตั้งแต่ปี 1992-1996 มากถึง 73,286 คัน ถือเป็นความสำเร็จอย่างงดงามของมิตซูบิชิ
เจนเนอเรชั่นที่  7
เจนเนอเรชั่นที่ 7 ถือเป็นอีกรุ่นที่ได้รับความนิยมจากลูกค้าทั่วโลก เปิดตัวครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อปี 1995 โดยมีการปรับปรุงและเติมเต็มรายละเอียดต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า และเปิดตัวสู่ตลาดเมืองไทยในเดือนสิงหาคม 1996 โดยมี วาเนสซา เมย์ (Vanessa Mae) ศิลปินนักไวโอลินชื่อดังมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ พร้อมการนำเพลง Red Hot มาใช้ประกอบโฆษณา ในช่วงแรกมีเครื่องยนต์ 2 ขนาดให้เลือก ทั้งรหัส 4G15 บล็อก 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว 1,468 ซีซี ECI-MULTI 94 แรงม้า และ 4G93 บล็อก 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว 1,834 ซีซี ECI-MULTI 122 แรงม้า โดยมีทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ INVECS-II จากนั้นได้มีการปรับโฉมครั้งใหญ่ ในปี 1998 พร้อมยกเลิกการทำตลาดรุ่น 1.5 ลิตร แล้วแทนที่ด้วยเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร 113 แรงม้า มีทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และอัตโนมัติ 4 จังหวะ INVECS-II วางในรุ่น 1.6 GLXi 5MT และ 1.6 GLXi-Ltd. 5MT / 4AT ส่วนเครื่องยนต์ 4G93 บล็อก 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว 1,834 ซีซี ECI-MULTI 122 แรงม้า ได้เพิ่มนวัตกรรมใหม่ครั้งแรกในรถยนต์ระดับเดียวกันด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ INVECS-II SPORTRONICS ที่มีโหมด บวก-ลบ ให้ผู้ขับขี่เลือกเปลี่ยนเกียร์ได้เองเฉพาะรุ่น 1.8 SEi-Ltd.

สำหรับรุ่นสุดท้ายของ แลนเซอร์ MG หรือรุ่น F-Style เปิดตัว ในงาน มอเตอร์ เอ็กซโป เมื่อ 1 ธันวาคม 2000 ด้วยการเพิ่มความหรูหราเข้าไป เปลี่ยนลายกระจังหน้าเป็นแบบซี่ตั้งโครเมียมดูหรูแบบคลาสสิค เปลี่ยนลายเปลือกกันชนใหม่เป็นแบบซี่นอนพร้อมไฟตัดหมอกหน้า เฉพาะรุ่น 1.8 SEi เพิ่มกันชนหลังพร้อมเซ็นเซอร์กะระยะถอยหลัง และลายไม้ในห้องโดยสาร ด้านตัวเลขยอดขายนั้นแลนเซอร์รุ่นนี้ทำยอดขายพุ่งสูงขึ้นรวดเร็วที่สุดเป็นประวัติการณ์ เพียง 4 เดือน ทำตัวเลขได้สูงถึง 12,801 คัน
เจนเนอเรชั่นที่  8
เจนเนอเรชั่นที่ 8 แลนเซอร์ ซีเดีย ได้รับการออกแบบตามแนวคิด COMPACT BODY WITH BIG CABIN สำหรับชื่อซีเดียมาจากการนำคำว่า CENTURY และ DIAMOND มาผสมกัน จนกลายเป็น "เพชรเม็ดงามแห่งศตวรรษ” ในส่วนของเครื่องยนต์ ถือเป็นครั้งแรกที่มิตซูบิชิ นำเอาขุมพลังเทคโนโลยีฉีดเชื้อเพลิงตรงสู่ห้องเผาไหม้ GDI (GASOLINE DIRECT INJECTION) นำมาผนวกกับระบบส่งกำลังอัตราทดแปรผัน CVT (CONTINUOS VARIABLE TRANSMISSION) โดยขุมพลังมีให้เลือกทั้งบล็อค 4G15 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,468 ซีซี GDI 100 แรงม้า และบล็อค 4G93 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,800 ซีซี GDI 130 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ INVECS-III CVT SPORT-MODE 6 จังหวะ ที่ผู้ขับขี่สามารถเลือกเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ได้เองตามต้องการ วางลงในโครงสร้างตัวถังนิรภัย RISE (REALIZED IMPACT SAFETY EVOLUTION) รองรับแรงกระแทกจากการชนทั้งด้านหน้าด้านข้างและด้านหลังได้เป็นอย่างดี

แลนเซอร์ ซีเดีย ถูกนำมาเปิดตัวครั้งแรกในเมืองไทยอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2001 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมี จอน บอง โจวี ร็อกสตาร์ ชื่อดัง เป็นพรีเซ็นเตอร์ สำหรับแลนเซอร์ ซีเดีย ที่วางจำหน่ายในประเทศไทยเป็นการนำชุดกระจังหน้าและเปลือกกันชนหน้าแบบโครเมียมจากเวอร์ชั่นไต้หวันมาทำตลาดพร้อมวางเครื่องยนต์ 2 ขนาด ใน 5 ทางเลือกรุ่นย่อย ทั้งขุมพลังรหัส 4G18 บล็อก 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว 1,584 ซีซี หัวฉีด ECI MULTI 107 แรงม้า มีทั้ง เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และอัตโนมัติอัตราทดแปรผัน INVECS-III CVT ล็อกอัตราทดได้ 6 จังหวะ วางในรุ่น 1.6 GLXi และ 1.6 GLXi LIMITED ส่วนรุ่น 1.8 SEi LIMITED วางขุมพลัง 4G93 บล็อก 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว 1,834 ซีซี หัวฉีด ECI MULTI 123 แรงม้า พร้อมเกียร์อัตโนมัติ INVECS-II CVT SPORT MODE 6 จังหวะ พร้อมโหมดบวกลบ

ในปี 2002 ได้มีการปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ครั้งแรก เปลี่ยนลายกระจังหน้า จากซี่ตั้งมาเป็นซี่นอนเปลี่ยนชุดไฟท้ายด้านหลังให้เป็นโคมสีแดงพร้อมเพิ่มทางเลือกใหม่ในสไตล์สปอร์ตในปี 2003 ด้วย LANCER 1.8 VIRAGE ตกแต่งด้วยสีแดงเพลิงรอบคัน มาพร้อมกระจังหน้าลายพิเศษ สปอยเลอร์หลังขนาดใหญ่ และล้ออัลลอยลายพิเศษ และในต้นปี 2004 ปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ครั้งใหญ่โดยเปลี่ยนชิ้นส่วนตัวถังด้านหน้า-หลังใหม่ทั้งหมดมาเป็นแบบโค้งมน ด้วยกระจังหน้าทรงปิระมิด และยกเลิกรุ่นเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร โดยแทนที่ด้วยเครื่องยนต์ 4G63 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,997 ซีซี 135แรงม้า เชื่อมด้วยเกียร์อัตโนมัติมาทำตลาดแทน

ทั้งนี้เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของตลาดจากกระแสความคิดด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ขยายไปทั่วโลก ในเดือนมีนาคม 2008 ที่ผ่านมา มิตซูบิชิ จึงเปิดตัว “แลนเซอร์ E20” ซึ่งได้รับการปรับปรุงระบบจ่ายเชื้อเพลิงและกล่อง ECU ให้รองรับน้ำมันแก็สโซฮอล์ E20 เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับทั้งอัตราการบริโภคน้ำมันและสิ่งแวดล้อม และล่าสุดเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2008 ท่ามกลางกระแสน้ำมันแพงไปทั่วโลก มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ก็เพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าที่อยากได้ความประหยัดเต็มพิกัดด้วยการแนะนำแลนเซอร์ CNG อันเป็นรุ่นย่อยใหม่ ติดตั้งระบบจ่ายเชื้อเพลิงสำหรับการใช้ก๊าซธรรมชาติอัด CNG (Compressed Natural Gas) เชื่อมเข้ากับ เครื่องยนต์ 4G18 บล็อก 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว 1,600 ซีซี เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับลูกค้าที่กำลังมองหารถยนต์นั่งที่ให้ทั้งความคุ้มค่าคุ้มราคาและการประหยัดที่เป็นเยี่ยม
เจนเนอเรชั่นล่าสุด ทำตลาดไทยในชื่อ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์
ทั้งนี้ในเดือนสิงหาคม 2007 มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ได้สร้างสีสันให้กับวงการรถยนต์อีกครั้งด้วยการแนะนำ มิตซูบิชิ กาแลนท์ ฟอร์ทิส ซึ่งเป็นเจนเนอเรชั่นล่าสุดของมิตซูบิชิ แลนเซอร์ สู่ตลาดญี่ปุ่น ก่อนจะทยอยแนะนำในภูมิภาคต่างๆ สำหรับในประเทศไทยนั้น ใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ (EX) โดยมาจากคำว่า “Exceeding”

สำหรับมิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ที่ทำตลาดในไทย มากับ 2 ทางเลือกเครื่องยนต์ คือเบนซินขนาด 1.8 ลิตร FFV 139 แรงม้า รองรับน้ำมันแก็สโซฮอล์ได้ถึง อี85 และเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร 154 แรงม้า โดยแบ่งเป็น 4 รุ่นย่อย คือ 1.8 GLX ราคา 831,000 บาท รุ่น 1.8 GLS 886,000 บาท รุ่น 1.8 GLS-Ltd. 899,000 บาท และตัวท็อป 2.0 GT ราคา 1,034,000 บาท
กำลังโหลดความคิดเห็น