ปรากฎการณ์แก๊งปาหินระบาดไปทั่ว ทำให้ประชาชนเกิดความวิตกกังวลต่อชีวิตและทรัพย์สินขณะเดินทาง และเริ่มมองหาอุปกรณ์ป้องกัน หรือลดเหตุการณ์รุนแรงให้ได้มากที่สุด ฟิล์มนิรภัย ติดกระจกรถยนต์เป็นอีกช่องทางหนึ่ง ที่ประชาชนหันมาเลือกใช้ เพื่อสร้างความอุ่นใจขณะเดินทาง แต่ความเข้าใจเกี่ยวกับฟิล์มนิรภัยของประชาชนยังสับสน ทั้งเรื่องคุณภาพและราคา จันทร์นภา สายสมร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทคโนเซล(เฟรย์) จำกัด ผู้จำหน่ายฟิล์มติดรถยนต์ ลามิน่า ในฐานะผู้นำเข้าฟิล์มนิรภัยรายแรก ชื่อ ลูมาร์ (LLumar) จะมาเป็นผู้ให้ความกระจ่างในเรื่องนี้
ประสิทธิภาพของฟิล์มนิรภัย
ก่อนอื่นต้องบอกว่า ฟิล์มนิรภัยผลิตขึ้นมาภายใต้แนวคิด ป้องกันหรือหน่วงเวลาในการทุบกระจกรถ เพื่อขโมยของ ป้องกันการแตกกระจายของกระจก ขณะเกิดอุบัติจากการชนด้านข้าง ตลอดจนถึงแรงกระแทกจากระเบิดทีเอ็นที ส่วนเรื่องปาหินที่เกิดขึ้นในสังคมไทยปัจจุบัน มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดเฉพาะในไทย จึงไม่ได้มีการทดสอบเรื่องนี้ในต่างประเทศทั่วโลก แต่หากดูจากคุณสมบัติของฟิล์มนิรภัย น่าจะช่วยป้องกัน หรือลดความรุนแรง จนไม่ทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตได้
แตกต่างจากฟิล์มติดรถทั่วไป
เป็นวัสุดที่ผลิตจากโพลีเอสเตอร์ ที่มีความเหนียวบาง เรียบ และไร้รอยย่นเหมือนกัน แต่ที่แตกต่างชัดเจนเรื่องความหนา ฟิล์มนิรภัยจะเริ่มตั้งแต่ 4 mil หรือเท่ากับ 0.004 นิ้ว ในส่วนของบานหน้า แต่ฟิล์มทั่วไปจะหนา 1.0-1.5 mil ซึ่งหนากว่ากันถึง 3 เท่า และบานข้างฟิล์มนิรภัยจะหนา 7 mil หรือ 0.007 นิ้ว สาเหตุที่บานข้างหนากว่า เพราะกระจกข้างเป็นแบบชั้นเดียว(Temper) จึงแตกง่าย บานหน้าเป็นแบบสองชั้น (Laminate) และคุณสมบัติอีกอย่าง คือ ปริมาณกาวต่อตารางนิ้วในการติดฟิล์มกับกระจกรถมีมากกว่า ฉะนั้นการยึดเกาะหรือประสานกระจกจึงเหนียวกว่า ทำให้การแตกกระจายเม็ดกระจก หรือทะลุกระจกเป็นไปยากมาก
การทดสอบฟิล์มนิรภัยรถ
แน่นอนต้องผ่านการทดสอบหลายขั้นตอน มากกว่าฟิล์มกรองแสงรถยนต์ทั่วไป ที่เพียงให้ผ่านมาตรฐานการป้องกันแสงตามสเปก และการยึดเกาะนิดหน่อย แต่ฟิล์มนิรภัยจะต้องผ่านมาตรฐานความปลอดภัย ทั้งเรื่องการทดสอบความปลอดภัยของบุคคล แรงสะท้อนจากระเบิดทีเอ็นที(TNT) พายุ การต้านทานโจรกรรม หรือทุบกระจก ทดสอบทางกายภาพอัตราการไหม้ของฟิล์ม ความเหนียวและทนทานต่อการเจาะทะลุ หรือฉีกขาด และอื่นๆ อีกมาก
ฟิล์มนิรภัย ลูมาร์ ที่เรานำเข้าจากสหรัฐอเมริกามาจำหน่าย ยังผ่านการทดสอบจากศูนย์ทดสอบเดคร่า ซึ่งเป็นห้องปฎิบัติการอิสระ ในการทดสอบรถยนต์อยู่ที่กรุงเคล็ทท์วิทซ์ ประเทศเยอรมนี โดยได้ทำการทดสอบเพื่อแสดงให้เห็นถึงการทำงานของฟิล์ม ในเหตุการณ์การชนกันทางด้านข้าง พบว่ากระจกถูกยึดไว้อย่างสมบูรณ์ ไม่แตกกระจายและปลิวเข้าสู่หน้าร่างกายคนขับเหมือนฟิล์มทั่วไป ทำให้ช่วยลดอันตรายที่เกิดขึ้นกับผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้เป็นอย่างดี
คุณสมบัติอื่นๆ ของฟิล์มนิรภัย
นอกจากคุณสมบัติที่กล่าวมา ยังช่วยป้องกันผู้โดยสารไม่ให้กระเด็นออกนอกตัวรถผ่านกระจกแตก อันเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิต ซึ่งจากความเหนียวของฟิล์มนิรภัย จึงเชื่อว่าน่าจะป้องกันการทะลุของหิน หรือลดแรงกระแทกลงได้มาก จนก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้น้อย นอกจากนี้ยังช่วยลดความร้อน และป้องกันรังสี UV เข้ามาภายในห้องโดยสาร เช่นเดียวกันกับฟิล์มกรองแสงทั่วไปด้วย
แสดงว่าราคาจะต้องแพงมาก
ราคาไม่แพงกว่ากันมาก ในส่วนของฟิล์มลูมาร์หากเทียบกับฟิล์มทั่วไป ที่ลูกค้านิยมติดตั้งเบอร์ 20 (60%) จะมีราคาประมาณกว่า 7,000 - 8,000 บาทสำหรับรอบคัน แต่ฟิล์มนิรภัยป้องกันแสงและยูวีเหมือนกัน จะอยู่ที่ประมาณ 15,000 บาท ซึ่งกรณีป้องกันการปาหินลูกค้าจะสามารถเลือกติดเฉพาะบานหน้าก็ได้ ราคาเริ่มต้นเพียง 3,000 บาท (ฟิล์มใส) เท่านั้น หรือติดฟิล์มนิรภัยรอบคัน
คำแนะนำการติดฟิล์มนิรภัย
ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ซึ่งเมืองไทยมีนำเข้าฟิล์มนิรภัยมาทำตลาดอยู่เพียง 2-3 รายเท่านั้น โดยบริษัทผู้จำหน่ายจะต้องมีความเชี่ยวชาญ และทำตลาดมานานน่าเชื่อถือ ต่อมาราคาจะต้องสมเหตุสมผล ฟิล์มที่จะติดตั้งจะต้องเหมาะกับการใช้งานของเรา และต้องติดตั้งจากช่างที่ผ่านการฝึกอบรมจากบริษัทแม่มาอย่างดี เพราะฟิล์มนิรภัยเป็นฟิล์มชนิดพิเศษ ต้องระมัดระวังในการติดตั้งให้เรียบเนียน ที่สำคัญปริมาณกาวที่จะใช้มากกว่าฟิล์มทั่วไปเยอะ หากช่างที่ไม่ผ่านการฝึกอบรมมาอย่างดี จะทำให้เกิดผลเสียมีรอยย่น และไม่สนิทระหว่างฟิล์มกับกระจกได้ ซึ่งในส่วนของฟิล์มนิรภัยลูมาร์ ติดตั้งได้เฉพาะศูนย์ลามิน่า เอ็กซ์คลูทีฟ ช็อป ที่มีอยู่ 50 แห่งทั่วประเทศเท่านั้น เพราะต้องใช้เครื่องมือเฉพาะ
ฟิล์มลูมาร์ยอดขายเป็นอย่างไร?
ฟิล์มนิรภัยลูมาร์เริ่มทำตลาดเมื่อปลายปี 2007 มีกลุ่มที่สนใจให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินพอสมควร แต่หากเทียบกับตลาดฟิล์มทั่วไปยังถือว่าเล็กมาก เพิ่งมาเกิดเหตุการณ์แก๊งปาหินอาละวาดนี่แหละ ยอดขายฟิล์มลูมาร์จึงเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าตัว นั่นแสดงให้เห็นคนเริ่มใส่ใจเรื่องชีวิตและทรัพย์สินมากขึ้น และเขาก็นึกถึงลูมาร์ทั้งที่ไม่ได้มีกิจกรรมและโฆษณามากนัก
ส่วนผลการดำเนินงานช่วง 7 เดือนแรกที่ผ่านมา มียอดขายรวมฟิล์มทุกประเภท 240 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมา 3% ทั้งภาพรวมตลาดฟิล์มกรองแสงในไทยตกลง นั่นแสดงให้เห็นความเชื่อมั่นต่อฟิล์มลามิน่าของผู้บริโภค และคาดทั้งปีน่าจะใกล้เคียงกับปีที่แล้ว มีรายได้ประมาณกว่า 400 ล้านบาท แต่คงต้องรอดูสถานการณ์ หลังผ่านไตรมาสสามไปก่อน ซึ่งหากการเมืองและเศรษฐกิจดีขึ้น อาจจะมีรายได้ที่เติบโตก็ได้ แต่แน่นอนว่าลามิน่ายังจะเป็นผู้นำในตลาดฟิล์มกรองแสงต่อไป
ประสิทธิภาพของฟิล์มนิรภัย
ก่อนอื่นต้องบอกว่า ฟิล์มนิรภัยผลิตขึ้นมาภายใต้แนวคิด ป้องกันหรือหน่วงเวลาในการทุบกระจกรถ เพื่อขโมยของ ป้องกันการแตกกระจายของกระจก ขณะเกิดอุบัติจากการชนด้านข้าง ตลอดจนถึงแรงกระแทกจากระเบิดทีเอ็นที ส่วนเรื่องปาหินที่เกิดขึ้นในสังคมไทยปัจจุบัน มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดเฉพาะในไทย จึงไม่ได้มีการทดสอบเรื่องนี้ในต่างประเทศทั่วโลก แต่หากดูจากคุณสมบัติของฟิล์มนิรภัย น่าจะช่วยป้องกัน หรือลดความรุนแรง จนไม่ทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตได้
แตกต่างจากฟิล์มติดรถทั่วไป
เป็นวัสุดที่ผลิตจากโพลีเอสเตอร์ ที่มีความเหนียวบาง เรียบ และไร้รอยย่นเหมือนกัน แต่ที่แตกต่างชัดเจนเรื่องความหนา ฟิล์มนิรภัยจะเริ่มตั้งแต่ 4 mil หรือเท่ากับ 0.004 นิ้ว ในส่วนของบานหน้า แต่ฟิล์มทั่วไปจะหนา 1.0-1.5 mil ซึ่งหนากว่ากันถึง 3 เท่า และบานข้างฟิล์มนิรภัยจะหนา 7 mil หรือ 0.007 นิ้ว สาเหตุที่บานข้างหนากว่า เพราะกระจกข้างเป็นแบบชั้นเดียว(Temper) จึงแตกง่าย บานหน้าเป็นแบบสองชั้น (Laminate) และคุณสมบัติอีกอย่าง คือ ปริมาณกาวต่อตารางนิ้วในการติดฟิล์มกับกระจกรถมีมากกว่า ฉะนั้นการยึดเกาะหรือประสานกระจกจึงเหนียวกว่า ทำให้การแตกกระจายเม็ดกระจก หรือทะลุกระจกเป็นไปยากมาก
การทดสอบฟิล์มนิรภัยรถ
แน่นอนต้องผ่านการทดสอบหลายขั้นตอน มากกว่าฟิล์มกรองแสงรถยนต์ทั่วไป ที่เพียงให้ผ่านมาตรฐานการป้องกันแสงตามสเปก และการยึดเกาะนิดหน่อย แต่ฟิล์มนิรภัยจะต้องผ่านมาตรฐานความปลอดภัย ทั้งเรื่องการทดสอบความปลอดภัยของบุคคล แรงสะท้อนจากระเบิดทีเอ็นที(TNT) พายุ การต้านทานโจรกรรม หรือทุบกระจก ทดสอบทางกายภาพอัตราการไหม้ของฟิล์ม ความเหนียวและทนทานต่อการเจาะทะลุ หรือฉีกขาด และอื่นๆ อีกมาก
ฟิล์มนิรภัย ลูมาร์ ที่เรานำเข้าจากสหรัฐอเมริกามาจำหน่าย ยังผ่านการทดสอบจากศูนย์ทดสอบเดคร่า ซึ่งเป็นห้องปฎิบัติการอิสระ ในการทดสอบรถยนต์อยู่ที่กรุงเคล็ทท์วิทซ์ ประเทศเยอรมนี โดยได้ทำการทดสอบเพื่อแสดงให้เห็นถึงการทำงานของฟิล์ม ในเหตุการณ์การชนกันทางด้านข้าง พบว่ากระจกถูกยึดไว้อย่างสมบูรณ์ ไม่แตกกระจายและปลิวเข้าสู่หน้าร่างกายคนขับเหมือนฟิล์มทั่วไป ทำให้ช่วยลดอันตรายที่เกิดขึ้นกับผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้เป็นอย่างดี
คุณสมบัติอื่นๆ ของฟิล์มนิรภัย
นอกจากคุณสมบัติที่กล่าวมา ยังช่วยป้องกันผู้โดยสารไม่ให้กระเด็นออกนอกตัวรถผ่านกระจกแตก อันเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิต ซึ่งจากความเหนียวของฟิล์มนิรภัย จึงเชื่อว่าน่าจะป้องกันการทะลุของหิน หรือลดแรงกระแทกลงได้มาก จนก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้น้อย นอกจากนี้ยังช่วยลดความร้อน และป้องกันรังสี UV เข้ามาภายในห้องโดยสาร เช่นเดียวกันกับฟิล์มกรองแสงทั่วไปด้วย
แสดงว่าราคาจะต้องแพงมาก
ราคาไม่แพงกว่ากันมาก ในส่วนของฟิล์มลูมาร์หากเทียบกับฟิล์มทั่วไป ที่ลูกค้านิยมติดตั้งเบอร์ 20 (60%) จะมีราคาประมาณกว่า 7,000 - 8,000 บาทสำหรับรอบคัน แต่ฟิล์มนิรภัยป้องกันแสงและยูวีเหมือนกัน จะอยู่ที่ประมาณ 15,000 บาท ซึ่งกรณีป้องกันการปาหินลูกค้าจะสามารถเลือกติดเฉพาะบานหน้าก็ได้ ราคาเริ่มต้นเพียง 3,000 บาท (ฟิล์มใส) เท่านั้น หรือติดฟิล์มนิรภัยรอบคัน
คำแนะนำการติดฟิล์มนิรภัย
ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ซึ่งเมืองไทยมีนำเข้าฟิล์มนิรภัยมาทำตลาดอยู่เพียง 2-3 รายเท่านั้น โดยบริษัทผู้จำหน่ายจะต้องมีความเชี่ยวชาญ และทำตลาดมานานน่าเชื่อถือ ต่อมาราคาจะต้องสมเหตุสมผล ฟิล์มที่จะติดตั้งจะต้องเหมาะกับการใช้งานของเรา และต้องติดตั้งจากช่างที่ผ่านการฝึกอบรมจากบริษัทแม่มาอย่างดี เพราะฟิล์มนิรภัยเป็นฟิล์มชนิดพิเศษ ต้องระมัดระวังในการติดตั้งให้เรียบเนียน ที่สำคัญปริมาณกาวที่จะใช้มากกว่าฟิล์มทั่วไปเยอะ หากช่างที่ไม่ผ่านการฝึกอบรมมาอย่างดี จะทำให้เกิดผลเสียมีรอยย่น และไม่สนิทระหว่างฟิล์มกับกระจกได้ ซึ่งในส่วนของฟิล์มนิรภัยลูมาร์ ติดตั้งได้เฉพาะศูนย์ลามิน่า เอ็กซ์คลูทีฟ ช็อป ที่มีอยู่ 50 แห่งทั่วประเทศเท่านั้น เพราะต้องใช้เครื่องมือเฉพาะ
ฟิล์มลูมาร์ยอดขายเป็นอย่างไร?
ฟิล์มนิรภัยลูมาร์เริ่มทำตลาดเมื่อปลายปี 2007 มีกลุ่มที่สนใจให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินพอสมควร แต่หากเทียบกับตลาดฟิล์มทั่วไปยังถือว่าเล็กมาก เพิ่งมาเกิดเหตุการณ์แก๊งปาหินอาละวาดนี่แหละ ยอดขายฟิล์มลูมาร์จึงเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าตัว นั่นแสดงให้เห็นคนเริ่มใส่ใจเรื่องชีวิตและทรัพย์สินมากขึ้น และเขาก็นึกถึงลูมาร์ทั้งที่ไม่ได้มีกิจกรรมและโฆษณามากนัก
ส่วนผลการดำเนินงานช่วง 7 เดือนแรกที่ผ่านมา มียอดขายรวมฟิล์มทุกประเภท 240 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมา 3% ทั้งภาพรวมตลาดฟิล์มกรองแสงในไทยตกลง นั่นแสดงให้เห็นความเชื่อมั่นต่อฟิล์มลามิน่าของผู้บริโภค และคาดทั้งปีน่าจะใกล้เคียงกับปีที่แล้ว มีรายได้ประมาณกว่า 400 ล้านบาท แต่คงต้องรอดูสถานการณ์ หลังผ่านไตรมาสสามไปก่อน ซึ่งหากการเมืองและเศรษฐกิจดีขึ้น อาจจะมีรายได้ที่เติบโตก็ได้ แต่แน่นอนว่าลามิน่ายังจะเป็นผู้นำในตลาดฟิล์มกรองแสงต่อไป