xs
xsm
sm
md
lg

เมอร์เซเดส-เบนซ์ B180CDI เติมสปอร์ต ใส่ไฮเทค

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


นับจากการเปิดตัวรถตระกูล B-Class ในเมืองไทยเมื่อปี 2005 แม้จะไม่ประสบความสำเร็จด้านยอดขายเหมือนรุ่นอื่นๆ แต่เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ยังคงเดินหน้าทำตลาดอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเผยโฉมตัว เฟซลิฟต์(ไมเนอร์เชนจ์) ภายใต้ชื่อการทำตลาดว่า “The new generation B 180 CDI Sports Tourer”

สำหรับ บี180 ซีดีไอ เป็นรถขนาดมินิ เอ็มพีวี ที่วางตำแหน่งอยู่เหนือรุ่น A-Class ใกล้เคียงกับรุ่น C-Class อาจจะต่ำกว่าเล็กน้อย รูปโฉมภายนอกนั้นดำเนินแนวเดียวทางกับรุ่น R-Class ย่อส่วนลงมา ซึ่งเบนซ์ตั้งใจทำตลาดเจาะกลุ่มรถขนาดคอมแพคคาร์ โดยอาศัยจุดเด่นตรงความเป็นรถเอนกประสงค์มีพื้นที่ใช้สอยหลากหลาย

ทั้งนี้ สิ่งที่เปลี่ยนไปจากโฉมก่อนหน้า ไล่เลียงลำดับจากไฟหน้า กระจังหน้า กันชนหน้าและท้าย ส่วนเส้นสายต่างๆ ยังคงเดิม ขณะเดียวกันรุ่นที่ทำตลาดในเมืองไทยจะเป็นโฉมที่ได้รับการตกแต่งสไตล์สปอร์ตครบชุดจากโรงงาน ดังคำต่อท้ายชื่อรุ่นว่า Sports Tourer อันเป็นตัวระบุถึงการตกแต่งแบบเบร็ดเสร็จ

ด้านการตกแต่งภายในส่วนใหญ่ยังคงเหมือนเดิม แต่เพิ่มฟังก์ชั่นล้ำสมัยขึ้นมาอีก 1 รายการคือ ระบบ ช่วยในการนำรถเข้าจอดแบบ Active Parking Assist ซึ่งจะช่วยให้ผู้ขับขี่เจ้า บี-คลาส สามารถเข้าจอดได้โดยง่ายเพียงแค่เลี้ยงคันเร่งและแตะเบรก ไม่ต้องหมุนพวงมาลัย เนื่องจากรถจะทำการเลี้ยวและหมุนให้เองโดยอัตโนมัติ และยังไม่มีรถคันใดในเมืองไทยมีระบบเช่นว่านี้

เรา “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” มีโอกาสทดลองใช้เจ้าระบบช่วยจอดที่ว่านี้ หลังจากได้รับการชวนเข้าร่วมทดลองขับเจ้าบี-คลาส บนเส้นทางกรุงเทพฯ-อยุธยา ขณะที่ก่อนหน้านั้นเราเคยมีโอกาสทดลองขับมาแล้วทั้งรูปแบบนอกเมืองและในเมือง

ก่อนอื่นเพื่อความต่อเนื่องเราขออธิบายถึง วิธีการใช้งานของระบบช่วยจอดนี้ก่อนเป็นลำดับแรก การจอดที่ว่านั้นจะต้องเป็นการจอดแบบเรียงแถวต่อกันตามแนวยาว เหมือนการจอดรถริมถนน เพียงแบบเดียวเท่านั้น ไม่ใช่การจอดแบบเข้าซองจอดรถของช่องจอดตามห้างสรรพสินค้า

เริ่มต้นเมื่อเราเห็นช่องว่างระหว่างรถคันหน้ากับคันหลัง ให้ขับรถผ่านตามแนวยาว เพื่อให้เซ็นเซอร์ที่ฝังอยู่ตามแนวด้านข้างซ้ายและขวารถจะสแกนหาพื้นที่ว่าง พร้อมกับวัดระยะความยาวและความลึกของบริเวณที่จะสามารถจอดได้

จากนั้นระบบจะส่งสัญญาณให้กับคนขับ โดยสังเกตตัวอักษร P จะขึ้นที่จอแสดงผลในรถ นั่นหมายถึงว่าเจ้า บี-คลาสรู้และเตรียมพร้อมแล้วว่าจะต้องการจอดรถ เพื่อให้ผู้ขับเข้าเกียร์ถอยหลังและยืนยันการจอด โดย หน้าจอจะขึ้นอักษรถามว่าเราจะจอดหรือไม่

ซึ่งระบบจะให้เราเลือกปุ่มกด ระหว่างตัวอักษร Yes or No หากเราจะจอดก็กด Yes แล้วปล่อยพวงมาลัย ที่เหลือทำเพียงกดคันเร่งและแตะเบรกเพื่อให้รถขับเคลื่อนเข้ายังจุดจอด รถจะหมุนพวงมาลัยให้เองโดยอัตโนมัติ จนกระทั่งจอดเข้าตำแหน่งขนานไปกับถนนเรียบร้อย

ต้องบอกว่าเป็นระบบที่ไฮเทค มากๆ และใช้งานง่ายดาย (เมื่อรู้วิธีใช้แล้ว) ช่วยให้บรรดามือใหม่ หรือผู้ขับที่มักจะมีปัญหาในการหาที่จอดรถเจอแต่ไม่สามารถถอยเข้าจอดได้ตามริมถนนเมืองหลวง ซึ่งอุปกรณ์ชิ้นนี้ตรงกับแนวทางการทำตลาดเจาะกลุ่มลูกค้าใช้รถในเมืองเป็นอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ยังเสริมด้วยอีกหนึ่งระบบ Hill Start Assist เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ขับขี่ ในยามขับรถขึ้นทางลาดชัน ไม่ให้รถเลื่อนถอยหลังเมื่อคนขับถอนเท้าออกจากแป้นเบรก

มาดูในด้านของเครื่องยนต์กันบ้าง เจ้า บี180 ซีดีไอ มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 1,992 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 109 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ที่รอบกว้างตั้ง 1,600 -2,600 รอบต่อนาที สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม. ภายใน 11.8 วินาที ความเร็วสูงสุดตามคู่มือระบุไว้ที่ 178 กม./ชม. อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 5.6-6.0 ลิตร ต่อ100 กิโลเมตร และอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 148-158 กรัมต่อกิโลเมตร

ระบบส่งกำลังคบหากับ เกียร์อัตโนมัติแบบ CVT เดินหน้า 7 จังหวะ (Autotronic) พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์แบบวันทัช (One-touch Shift) ช่วยเพิ่มความสนุกสนานในการขับขี่

ส่วนการทดลองขับนั้น ความรู้สึกแรกหลังเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัยหุ้มหนัง 4 ก้านรุ่นใหม่ คือการได้สัมผัสกับการตกแต่งลายอลูมิเนียม ทั้งคัน ไม่ว่าจะเป็นที่คอนโซลกลาง, พวงมาลัย และหน้าปัด ให้ความรู้สึกสปอร์ตอย่างแรงรวมกับคุณภาพของวัสดุหนังและพลาสติกทำได้ ไม่เสียชื่อยี่ห้อ ดาวสามแฉก

เข้าเกียร์เดินหน้า หักเลี้ยวออกจากลานจอดรถ รู้สึกถึงน้ำหนักอันเบามือของพวงมาลัย ที่ตอบสนองอย่างแม่นยำ เหมาะสมกับการใช้งานในเมืองแบบไม่ต้องสงสัย การตอบสนองของเครื่องยนต์และเกียร์ ทำงานสอดประสานกันอย่างลงตัว ความเร็วช่วงต้นเรียกเมื่อไหร่ก็มาทันใจ

ทัศนวิสัยชัดเจนดี หน้ารถอาจจะดูต่ำไปสักเล็กน้อยก็ไม่เป็นปัญหา มิติตัวถังแม้จะดูเล็กๆ แต่เมื่อพับเบาะนั่งด้านหลังลงไปแล้ว สามารถบรรจุทีวี แอลซีดี ขนาด 42 นิ้วแบบยังอยู่ในกล่องได้ และยังบรรทุกผู้โดยสารรวมคนขับอีก 3 ชีวิต เดินทางไปพร้อมกันอย่างสบายๆ

สำหรับการวิ่งแบบนอกเมือง เราลองวิ่งทางยาวๆ อาจจะมีบางช่วงในย่านความเร็วสูงกว่า 140 กม./ชม. จะรู้สึกเหมือนตัวรถเบาๆ ขณะที่ความนิ่งและการเกาะถนนไม่แตกต่างจากเดิม เชื่อขนมกินได้สไตล์รถเยอรมัน เสียงลมดังรบกวนจากภายนอกจะเริ่มได้ยินชัดเมื่อวิ่งเกินกว่า 130 กม./ชม. ขณะที่เสียงดังของเครื่องยนต์จะดังตามสไตล์เครื่องยนต์ดีเซล ที่จะส่งเสียงเข้ามาในห้องโดยสารตามจังหวะแรงเหยียบคันเร่งของผุ้ขับ

และในวันที่เราทดลองขับมีฝนตกลงมาเป็นระยะๆ ได้ทดลองใบปัดน้ำฝนซึ่งทำงานได้ใจเราอย่างมาก กับการกวาดน้ำฝนบนหน้ากระจกรถช่วงที่ฝนตกหนักแบบเร็วสะใจและมองเห็นทางข้างหน้า หากเป็นรถอื่นอาจจะปัดไม่ทัน ทั้งยังไว้ใจได้ในเรื่องของการเกาะถนนแม้ยามถนนเปียกลื่น

ความเร็วสูงสุดที่เราทำได้คือ 180 กม./ชม. ซึ่งถือว่าเต็มที่ของเครื่องยนต์และตัวรถแล้ว อย่างไรก็ยังมากกว่าที่เบนซ์เคลมไว้ในคู่มือเสียอีก อัตราการบริโภคน้ำมันเฉลี่ยตามการแสดงผลคือ 7.8 ลิตรต่อ 100 กม.หรือ ประมาณ 12.8 กม./ลิตร จากการวิ่งเป็นระยะทางราว 150 กม. โดยผสมทั้งการขับแบบในและนอกเมือง

การขับขี่โดยรวมทั้งหมดเราค่อนข้างชอบเจ้า บี 180 มากกว่ารุ่น A-Class แต่เมื่อหันไปมองราคาที่เบนซ์ตั้งไว้ 2.799 ล้านบาทแล้ว (เนื่องจากการเป็นรถนำเข้าสำเร็จรูป(CBU)) ทำให้นึกไปถึงรุ่น C-Class ที่เราชอบมากกว่าเจ้า บี180ตัวนี้ แม้ลักษณะการใช้งานตัวรถจะไม่เหมือนกันแต่ด้วยราคากับความเป็นดาว 3 แฉกเหมือนกันจึง เกิดลังเลใจหากจะตัดสินใจคบหากับเจ้า บี180

สรุป หากมองในด้านของการใช้งานเป็นหลักแล้ว เจ้า บี180 เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมอย่างยิ่งกับการใช้งานในเมือง เพียบพร้อมด้วยออพชันที่ล้ำนำหน้าคนอื่น แต่ด้วยค่าตัว 2.799 ล้านบาทถือว่าสูงพอสมควรแต่หากคุณไม่มีปัญหาในประเด็นนี้ เราว่าเจ้าบี180ซีดีไอ เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย













กำลังโหลดความคิดเห็น