เปิดยุทธการล่าฝันมาสด้า ตั้งเป้าปีหน้าเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดเป็น 5% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนไม่ถึง 2% หวังโตก้าวกระโดดขึ้นไปเป็นท๊อป5 ค่ายรถยนต์เมืองไทย โดยบอสใหญ่ “จอห์น เรย์”สุดมั่นด้วยแผนธุรกิจยุคใหม่ ไล่ตั้งแต่เสริมสร้างความเข้มแข็งให้ผู้จำหน่าย ปรับระบบขาย –บริการหลังการขายให้มีประสิทธิภาพ ตรวจสอบและสามารถวัดผลได้ชัดเจน พร้อมขยายบริการให้ครอบคลุมทั่วประเทศเป็น 120 แห่ง ด้านโปรดักต์เชื่อ “มาสด้า2 ใหม่” เข้ามาปลุกกระแสเก๋งเมืองไทย ลั่นคุณภาพ-ราคาสู้คู่แข่งได้ทุกเจ้า เล็งเปิดตัวไตรมาสสุดท้ายแน่นอน และช่วงเวลาไล่เลี่ยกันเตรียมส่ง“ซีเอ็กซ์-9”ท้าชนเอสยูวีแบรนด์หรู คาดราคาทะลุ 3 ล้านบาท ก่อนปิดยอดขายรวมปีนี้ 12,000 คัน
ภายใต้โกลบอลคอนเซ็ปต์ Sustainable Zoom –Zoom หรือ“ซูม ซูม อย่างยั่งยืน” อันเป็นนโยบายหลักของมาสด้าพ.ศ.นี้ โดยมุ่งหวังสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ผ่านแบรนด์ คุณภาพสินค้า ความพอใจทั้งการขายและบริการหลังการขาย จนนำไปสู่ความสำเร็จอย่างมั่นคงในอนาคต…บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่นำโดยแม่ทัพอย่าง “จอห์น เรย์” พร้อมปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าว และหวังว่าความพร้อมจากตัวโปรดักต์ใหม่ๆ และการวางรากฐานเครือข่ายผู้จำหน่ายให้แน่นปึก จะส่งผลให้ธุรกิจมาสด้าในไทยเติบโตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าปีหน้าจะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดได้ถึง5% จากปัจจุบันที่มีอยู่เพียง 1.82% เท่านั้น(ถึงสิ้นปี 2551)
อย่างไรก็ตามถ้ามองจากส่วนแบ่งการตลาดในปัจจุบัน ที่นำโดยยักษ์โตโยต้านั้นครองไปถึง 42.62% ตามด้วยอีซูซุ 21.68% ขณะที่ฮอนด้า 14.76% นิสสัน 5.16% และมิตซูบิชิ 4.05% ส่วนเชฟโรเลต กับฟอร์ด มีสัดส่วน3.61%,1.48% ตามลำดับ ขณะที่มาสด้าอยู่ลำดับ 8 ดังนั้นถ้าเป้าหมายที่ตั้งไว้เป็นจริง ก็อาจจะส่งผลให้ค่ายซูม-ซูม ผงาดขึ้นไปติดหนึ่งใน 5 ของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในไทยเลยทีเดียว…ส่วนเรื่องจะทำได้-ไม่ได้ หรือเหตุใดมาสด้า ถึงมั่นใจขนาดนี้ คนที่ออกมาพูดเท่านั้นจะเป็นผู้ให้คำตอบได้ดีที่สุด
“ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เราเริ่มปรับแผนธุรกิจ รวมถึงบริหารจัดการองค์กรให้มีประสิทธิภาพ ตลอดจนทำความเข้าใจกับบรรดาดีลเลอร์ทั้ง 96 แห่ง ทั่วประเทศ เพื่อกำหนดทิศทาง และให้ทุกฝ่ายก้าวไปสู่เป้าหมายอย่างพร้อมเพรียง”จอห์น เรย์ กรรมการผู้จัดการ มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย กล่าวกับ “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” พร้อมเผยรายละเอียดต่อไปว่า
ปีนี้มาสด้าได้วางแผนงานหลักๆเอาไว้ 3 ประเด็นใหญ่คือ หนึ่ง การเตรียมความพร้อมรองรับการเปิดตัวรถยนต์ใหม่อย่าง ซีเอ็กซ์-9 (CX-9) และมาสด้า2 ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ประเด็นที่สองคือ การสร้างความสดใหม่ให้กับสินค้าที่มีอยู่ไม่ว่าจะเป็น มาสด้า3 และปิกอัพ บีที-50 ด้วยการออกรุ่นตกแต่งพิเศษ ส่วนประเด็นสุดท้ายคือ ต้องทำการวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างเข้มข้นมากขึ้น เพื่อนำผลกลับมาศึกษาถึงการใช้สื่อให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด
สำหรับประเด็นการเตรียมความพร้อมในการเปิดตัวรถยนต์ 2 รุ่นใหม่ “จอห์น เรย์” มุ่งไปที่การพัฒนาบุคลากร ทั้งในส่วนของบริษัท มาสด้า เซลส์ และตัวดีลเลอร์ รวมถึงการปรับภาพลักษณ์โชว์รูม และระบบบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพและสามารถวัดผลได้ ซึ่งหนึ่งในวิธีที่นำมาปรับใช้กับดีลเลอร์และเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมคือ ระบบบริหารและติดตามลูกค้าคาดหวัง (Sales / Prospecting Follow Up System) โดยระบบดังกล่าวเริ่มใช้ตั้งแต่กลางปีที่แล้ว
“ระบบบริหารและติดตามลูกค้าคาดหวัง จะเป็นกระบวนการที่ช่วยให้ดีลเลอร์สามารถทราบสถานะของลูกค้าคาดหวังแต่ละคนว่า ลูกค้าได้รับโบรชัวร์ไปแล้วหรือไม่ ทดลองขับแล้วหรือยัง อยู่ในระหว่างรอการอนุมัติจากไฟแนนซ์ หรือในกรณีที่ลูกค้าเลื่อนการตัดสินใจออกไป เหตุผลเป็นเพราะอะไร ที่สำคัญจะลดความซ้ำซ้อนของงาน และดีลเลอร์ยังนำข้อมูลไปใช้ในการพยากรณ์ยอดขายในอนาคตได้อีกด้วย”จอห์น เรย์ กล่าวและว่า
ในส่วนของ “มาสด้า เซลส์”จะได้ประโยชน์จากระบบนี้เช่นกันคือ การช่วยประเมินผลเรื่องการใช้สื่อโฆษณาต่างๆ ทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่น ว่าสื่อใดมีประสิทธิภาพในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าคาดหวังได้ดี และยังช่วยให้แนวทางในการปรับปรุงและพัฒนาการวางแผนสื่อโฆษณาในอนาคต ขณะนี้มีดีลเลอร์ที่ติดตั้งระบบดังกล่าวไปแล้ว 48 แห่ง และมีแผนจะเพิ่มเป็น 60 แห่งทั่วประเทศ
“สิ่งที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องคือการสร้างแบรนด์ และสร้างความพอใจสูงสุดให้ลูกค้าผ่านการขายและบริการหลังการขาย เพื่อรองรับการบริการที่มีมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก บริษัทยังตั้งเป้าขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 96 แห่ง และคาดว่าในปี 2553 จะครบ 120 แห่งทั่วประเทศ”
จอห์น เรย์ ยังเปิดเผยถึงแผนการตลาดและการสื่อสารองค์กรว่า ต่อไปจะใช้สื่อให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด ไม่มีการเหวี่ยงแหหรือการกระจายข่าวแบบไม่มีผลลัพธ์ตามมา ซึ่งนอกจากจะใช้สื่อปกติอย่าง ทีวี วิทยุ และสิ่งพิมพ์แล้ว พวก SMS ในมือถือ รวมถึงเว็บไซต์ก็จะมีส่วนช่วยประชาสัมพันธ์ความเคลื่อนไหวของมาสด้ามากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกันยังมีแผนรุกตลาดรถยนต์นั่งตามต่างจังหวัด โดยหวังเพิ่มสัดส่วนระหว่างเก๋งกับปิกอัพที่จากเดิมมี 25:75 เป็น 40:60 ตามสภาพตลาดและความสามารถในการแข่งขันของบริษัทที่มีเพิ่มขึ้น ซึ่งประเด็นนี้ จอห์น เรย์ กล่าวว่า มาสด้า 3 ถือเป็นรถรุ่นที่ผลักดันความสำเร็จให้กับมาสด้าเซลส์ และในอนาคตจะมี มาสด้า2 ซึ่งเป็นรถซับคอมแพกต์มาช่วยเสริมอีก จึงคาดว่าสัดส่วนยอดขายรถเก๋งในต่างจังหวัดจะต้องเพิ่มขึ้นแน่นอน
“เราไม่อยากขายรถเก๋งแค่ในกรุงเทพมหานคร และด้วยศักยภาพที่มีเราเชื่อว่าจะสามารถขยายตลาดรถเก๋งในต่างจังหวัดได้ แต่กระนั้นในส่วนของรถปิกอัพ บีที-50 เราก็ไม่ได้ลดความสำคัญลงไป เพียงแต่ต้องปรับตัวให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปเท่านั้น”
จะเห็นว่าการเตรียมพร้อมของมาสด้า ที่หวังเห็นการเปิดตัวมาสด้า2 จะเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญให้ทุกระบบก้าวเดินพร้อมยอดขายแบบพุ่งกระฉูด และแม้บอสใหญ่จะไม่เปิดเผยถึงรายละเอียดเชิงลึก แต่ยังแย้มนิดๆว่า เก๋งซับ-คอมแพกต์รุ่นใหม่ จะมาพร้อมราคาสมเหตุสมผล คือเป็นราคาที่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งในท้องตลาดได้ ที่สำคัญจะไม่ใช้วิธีตั้งค่าหัวแพงๆแล้วใช้แคมเปญผลักดันยอดขายแน่นอน
ด้านเอสยูวีอย่าง“ซีเอ็กซ์-9” ที่รอดูจังหวะเปิดตัวมานาน จนล่าสุดได้คำตอบชัดเจนแล้วว่า มาสด้าเตรียมลุยตลาดในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ (หลังตัดสินใจไม่ทำตลาดรุ่น ซีเอ็กซ์-7 ) ไล่เลี่ยกับมาสด้า2 แต่ช่วงเวลาอาจจะเหลื่อมกันนิดหน่อย โดย“ซีเอ็กซ์-9” น่าจะเปิดตัวก่อน โดยความอเนกประสงค์ขนาดกลางกึ่งใหญ่จะมาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน วี6 3.5 ลิตร 250 แรงม้า โดยเป็นตัวนำเข้าจากญี่ปุ่น และเมื่อโดนกำแพงภาษีแล้ว จะส่งผลให้ราคาโดดไปกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งมาสด้าเองคงไม่ได้หวังยอดขายจากรถรุ่นนี้มากนัก แต่น่าจะมองไปที่การโชว์เทคโนโลยีหรือ สร้างอิมเมจมากกว่า
ทั้งหมดเป็นแผนการล่าฝันของมาสด้า ที่หวังยกระดับยอดขายให้ขึ้นมาอยู่แนวหน้าของตลาดรถยนต์เมืองไทย และแม้จะอยู่ในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมยานยนต์ซบเซา จอห์น เรย์ ยังหวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผน และต่อข้อถามถึงสภาพตลาดรถยนต์เมืองไทยในปีนี้ กรรมการผู้จัดการ มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย ยังมองว่าช่วงไตรมาส 3 และ 4 สถานการณ์ทางเศรษฐกิจน่าจะดีขึ้น ส่วนยอดขายรถยนต์รวมทุกยี่ห้อน่าจะปิดเพียง 5.1-5.2 แสนคัน ลดลง 15%-17% เมื่อเทียบกับปี 2551 (6.15 แสนคัน)
“ต้องยอมรับว่าไทยเป็นตลาดที่หินมากๆ ขณะเดียวกันจากภาวะเศรษฐกิจโลก รวมถึงปัญหาความไม่สงบในประเทศที่เกิดขึ้น ก็ส่งผลกระทบกับตลาดรถยนต์ในภาพรวม แต่ทั้งนี้จากยอดขาย 4 เดือนแรกของมาสด้า(ม.ค.-เม.ย.2552) ที่ทำได้กว่า 3,219 คัน โดยส่วนตัวค่อนข้างพอใจ แต่ทุกคนยังต้องทำงานหนักต่อไป และจากแผนการที่กล่าวมา คาดว่าปีนี้บริษัทจะทำยอดขายรวมถึง 12,000 คัน แบ่งเป็นปิกอัพ บีที-50 ถึง 6,400 คัน ที่เหลือ 5,600 คันเป็นของรถยนต์นั่ง”จอห์น เรย์ กล่าวสรุป
...หลังฟังความมุ่งมั่นจากปากของแม่ทัพใหญ่ ถึงศักราชใหม่แห่งความสำเร็จแล้ว น่าจะทำให้ทีมงานรวมถึงคู่ค้า และสาวก “ซูม-ซูม” ได้ใจชื้นขึ้นมาหลายขุม ส่วนภารกิจจะเป็นไปตามเป้าประสงค์หรือไม่คงต้องติดตาม
ภายใต้โกลบอลคอนเซ็ปต์ Sustainable Zoom –Zoom หรือ“ซูม ซูม อย่างยั่งยืน” อันเป็นนโยบายหลักของมาสด้าพ.ศ.นี้ โดยมุ่งหวังสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ผ่านแบรนด์ คุณภาพสินค้า ความพอใจทั้งการขายและบริการหลังการขาย จนนำไปสู่ความสำเร็จอย่างมั่นคงในอนาคต…บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่นำโดยแม่ทัพอย่าง “จอห์น เรย์” พร้อมปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าว และหวังว่าความพร้อมจากตัวโปรดักต์ใหม่ๆ และการวางรากฐานเครือข่ายผู้จำหน่ายให้แน่นปึก จะส่งผลให้ธุรกิจมาสด้าในไทยเติบโตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าปีหน้าจะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดได้ถึง5% จากปัจจุบันที่มีอยู่เพียง 1.82% เท่านั้น(ถึงสิ้นปี 2551)
อย่างไรก็ตามถ้ามองจากส่วนแบ่งการตลาดในปัจจุบัน ที่นำโดยยักษ์โตโยต้านั้นครองไปถึง 42.62% ตามด้วยอีซูซุ 21.68% ขณะที่ฮอนด้า 14.76% นิสสัน 5.16% และมิตซูบิชิ 4.05% ส่วนเชฟโรเลต กับฟอร์ด มีสัดส่วน3.61%,1.48% ตามลำดับ ขณะที่มาสด้าอยู่ลำดับ 8 ดังนั้นถ้าเป้าหมายที่ตั้งไว้เป็นจริง ก็อาจจะส่งผลให้ค่ายซูม-ซูม ผงาดขึ้นไปติดหนึ่งใน 5 ของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในไทยเลยทีเดียว…ส่วนเรื่องจะทำได้-ไม่ได้ หรือเหตุใดมาสด้า ถึงมั่นใจขนาดนี้ คนที่ออกมาพูดเท่านั้นจะเป็นผู้ให้คำตอบได้ดีที่สุด
“ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เราเริ่มปรับแผนธุรกิจ รวมถึงบริหารจัดการองค์กรให้มีประสิทธิภาพ ตลอดจนทำความเข้าใจกับบรรดาดีลเลอร์ทั้ง 96 แห่ง ทั่วประเทศ เพื่อกำหนดทิศทาง และให้ทุกฝ่ายก้าวไปสู่เป้าหมายอย่างพร้อมเพรียง”จอห์น เรย์ กรรมการผู้จัดการ มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย กล่าวกับ “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” พร้อมเผยรายละเอียดต่อไปว่า
ปีนี้มาสด้าได้วางแผนงานหลักๆเอาไว้ 3 ประเด็นใหญ่คือ หนึ่ง การเตรียมความพร้อมรองรับการเปิดตัวรถยนต์ใหม่อย่าง ซีเอ็กซ์-9 (CX-9) และมาสด้า2 ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ประเด็นที่สองคือ การสร้างความสดใหม่ให้กับสินค้าที่มีอยู่ไม่ว่าจะเป็น มาสด้า3 และปิกอัพ บีที-50 ด้วยการออกรุ่นตกแต่งพิเศษ ส่วนประเด็นสุดท้ายคือ ต้องทำการวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างเข้มข้นมากขึ้น เพื่อนำผลกลับมาศึกษาถึงการใช้สื่อให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด
สำหรับประเด็นการเตรียมความพร้อมในการเปิดตัวรถยนต์ 2 รุ่นใหม่ “จอห์น เรย์” มุ่งไปที่การพัฒนาบุคลากร ทั้งในส่วนของบริษัท มาสด้า เซลส์ และตัวดีลเลอร์ รวมถึงการปรับภาพลักษณ์โชว์รูม และระบบบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพและสามารถวัดผลได้ ซึ่งหนึ่งในวิธีที่นำมาปรับใช้กับดีลเลอร์และเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมคือ ระบบบริหารและติดตามลูกค้าคาดหวัง (Sales / Prospecting Follow Up System) โดยระบบดังกล่าวเริ่มใช้ตั้งแต่กลางปีที่แล้ว
“ระบบบริหารและติดตามลูกค้าคาดหวัง จะเป็นกระบวนการที่ช่วยให้ดีลเลอร์สามารถทราบสถานะของลูกค้าคาดหวังแต่ละคนว่า ลูกค้าได้รับโบรชัวร์ไปแล้วหรือไม่ ทดลองขับแล้วหรือยัง อยู่ในระหว่างรอการอนุมัติจากไฟแนนซ์ หรือในกรณีที่ลูกค้าเลื่อนการตัดสินใจออกไป เหตุผลเป็นเพราะอะไร ที่สำคัญจะลดความซ้ำซ้อนของงาน และดีลเลอร์ยังนำข้อมูลไปใช้ในการพยากรณ์ยอดขายในอนาคตได้อีกด้วย”จอห์น เรย์ กล่าวและว่า
ในส่วนของ “มาสด้า เซลส์”จะได้ประโยชน์จากระบบนี้เช่นกันคือ การช่วยประเมินผลเรื่องการใช้สื่อโฆษณาต่างๆ ทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่น ว่าสื่อใดมีประสิทธิภาพในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าคาดหวังได้ดี และยังช่วยให้แนวทางในการปรับปรุงและพัฒนาการวางแผนสื่อโฆษณาในอนาคต ขณะนี้มีดีลเลอร์ที่ติดตั้งระบบดังกล่าวไปแล้ว 48 แห่ง และมีแผนจะเพิ่มเป็น 60 แห่งทั่วประเทศ
“สิ่งที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องคือการสร้างแบรนด์ และสร้างความพอใจสูงสุดให้ลูกค้าผ่านการขายและบริการหลังการขาย เพื่อรองรับการบริการที่มีมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก บริษัทยังตั้งเป้าขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 96 แห่ง และคาดว่าในปี 2553 จะครบ 120 แห่งทั่วประเทศ”
จอห์น เรย์ ยังเปิดเผยถึงแผนการตลาดและการสื่อสารองค์กรว่า ต่อไปจะใช้สื่อให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด ไม่มีการเหวี่ยงแหหรือการกระจายข่าวแบบไม่มีผลลัพธ์ตามมา ซึ่งนอกจากจะใช้สื่อปกติอย่าง ทีวี วิทยุ และสิ่งพิมพ์แล้ว พวก SMS ในมือถือ รวมถึงเว็บไซต์ก็จะมีส่วนช่วยประชาสัมพันธ์ความเคลื่อนไหวของมาสด้ามากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกันยังมีแผนรุกตลาดรถยนต์นั่งตามต่างจังหวัด โดยหวังเพิ่มสัดส่วนระหว่างเก๋งกับปิกอัพที่จากเดิมมี 25:75 เป็น 40:60 ตามสภาพตลาดและความสามารถในการแข่งขันของบริษัทที่มีเพิ่มขึ้น ซึ่งประเด็นนี้ จอห์น เรย์ กล่าวว่า มาสด้า 3 ถือเป็นรถรุ่นที่ผลักดันความสำเร็จให้กับมาสด้าเซลส์ และในอนาคตจะมี มาสด้า2 ซึ่งเป็นรถซับคอมแพกต์มาช่วยเสริมอีก จึงคาดว่าสัดส่วนยอดขายรถเก๋งในต่างจังหวัดจะต้องเพิ่มขึ้นแน่นอน
“เราไม่อยากขายรถเก๋งแค่ในกรุงเทพมหานคร และด้วยศักยภาพที่มีเราเชื่อว่าจะสามารถขยายตลาดรถเก๋งในต่างจังหวัดได้ แต่กระนั้นในส่วนของรถปิกอัพ บีที-50 เราก็ไม่ได้ลดความสำคัญลงไป เพียงแต่ต้องปรับตัวให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปเท่านั้น”
จะเห็นว่าการเตรียมพร้อมของมาสด้า ที่หวังเห็นการเปิดตัวมาสด้า2 จะเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญให้ทุกระบบก้าวเดินพร้อมยอดขายแบบพุ่งกระฉูด และแม้บอสใหญ่จะไม่เปิดเผยถึงรายละเอียดเชิงลึก แต่ยังแย้มนิดๆว่า เก๋งซับ-คอมแพกต์รุ่นใหม่ จะมาพร้อมราคาสมเหตุสมผล คือเป็นราคาที่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งในท้องตลาดได้ ที่สำคัญจะไม่ใช้วิธีตั้งค่าหัวแพงๆแล้วใช้แคมเปญผลักดันยอดขายแน่นอน
ด้านเอสยูวีอย่าง“ซีเอ็กซ์-9” ที่รอดูจังหวะเปิดตัวมานาน จนล่าสุดได้คำตอบชัดเจนแล้วว่า มาสด้าเตรียมลุยตลาดในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ (หลังตัดสินใจไม่ทำตลาดรุ่น ซีเอ็กซ์-7 ) ไล่เลี่ยกับมาสด้า2 แต่ช่วงเวลาอาจจะเหลื่อมกันนิดหน่อย โดย“ซีเอ็กซ์-9” น่าจะเปิดตัวก่อน โดยความอเนกประสงค์ขนาดกลางกึ่งใหญ่จะมาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน วี6 3.5 ลิตร 250 แรงม้า โดยเป็นตัวนำเข้าจากญี่ปุ่น และเมื่อโดนกำแพงภาษีแล้ว จะส่งผลให้ราคาโดดไปกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งมาสด้าเองคงไม่ได้หวังยอดขายจากรถรุ่นนี้มากนัก แต่น่าจะมองไปที่การโชว์เทคโนโลยีหรือ สร้างอิมเมจมากกว่า
ทั้งหมดเป็นแผนการล่าฝันของมาสด้า ที่หวังยกระดับยอดขายให้ขึ้นมาอยู่แนวหน้าของตลาดรถยนต์เมืองไทย และแม้จะอยู่ในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมยานยนต์ซบเซา จอห์น เรย์ ยังหวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผน และต่อข้อถามถึงสภาพตลาดรถยนต์เมืองไทยในปีนี้ กรรมการผู้จัดการ มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย ยังมองว่าช่วงไตรมาส 3 และ 4 สถานการณ์ทางเศรษฐกิจน่าจะดีขึ้น ส่วนยอดขายรถยนต์รวมทุกยี่ห้อน่าจะปิดเพียง 5.1-5.2 แสนคัน ลดลง 15%-17% เมื่อเทียบกับปี 2551 (6.15 แสนคัน)
“ต้องยอมรับว่าไทยเป็นตลาดที่หินมากๆ ขณะเดียวกันจากภาวะเศรษฐกิจโลก รวมถึงปัญหาความไม่สงบในประเทศที่เกิดขึ้น ก็ส่งผลกระทบกับตลาดรถยนต์ในภาพรวม แต่ทั้งนี้จากยอดขาย 4 เดือนแรกของมาสด้า(ม.ค.-เม.ย.2552) ที่ทำได้กว่า 3,219 คัน โดยส่วนตัวค่อนข้างพอใจ แต่ทุกคนยังต้องทำงานหนักต่อไป และจากแผนการที่กล่าวมา คาดว่าปีนี้บริษัทจะทำยอดขายรวมถึง 12,000 คัน แบ่งเป็นปิกอัพ บีที-50 ถึง 6,400 คัน ที่เหลือ 5,600 คันเป็นของรถยนต์นั่ง”จอห์น เรย์ กล่าวสรุป
...หลังฟังความมุ่งมั่นจากปากของแม่ทัพใหญ่ ถึงศักราชใหม่แห่งความสำเร็จแล้ว น่าจะทำให้ทีมงานรวมถึงคู่ค้า และสาวก “ซูม-ซูม” ได้ใจชื้นขึ้นมาหลายขุม ส่วนภารกิจจะเป็นไปตามเป้าประสงค์หรือไม่คงต้องติดตาม