ข่าวในประเทศ - ตระกูล"ลีนุตพงษ์"เปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เมื่อ"พสุพงษ์"ถอนตัวจากแบรนด์เปอโยต์ ขายหุ้นคืนและปล่อยพี่ชาย "พลกฤษณ์" ดูต่อไปคนเดียว โดยหันมาเป็นดีลเลอร์ขายรถยนต์ โฟล์คสวาเกน แทน อ้างต้องการทำธุรกิจที่พอประมาณ ไม่อยากลงทุนและแบกภาระจำนวนมาก เพื่อลดความเสี่ยงในสภาวะตลาดรถยนต์ และเศรษฐกิจชะลอตัวเช่นนี้ เผยหลังจากได้พูดคุยกับโฟล์คสวาเกน เยอรมนี และ "วิทิต"ญาติในสายลีนุตพงษ์ ที่ดูแลบริษัทไทยยานยนต์ดิสทริบิวเตอร์แบรนด์โฟล์คสวาเกนในไทย มั่นใจแผนธุรกิจที่จะกลับมายิ่งในอนาคต โดยเฉพาะสินค้าใหม่ๆ ที่จะแนะนำสู่ตลาดต่อเนื่อง หลังจากได้มีการส่งรถโมเดลใหม่ล็อตใหญ่ 5 รุ่นสู่ตลาดเมื่อเดือนที่ผ่านมา และปลายปีนี้ก็มีจะมีรุ่น กอล์ฟ จีทีไอ มาเสริมอีก แต่นั่นเป็นเพียงน้ำหล่อเลี้ยง แย้มเชื่อว่าในอีก 2-3 ข้างหน้า จะรถยนต์โฟล์คสวาเกนราคาประมาณ 8 แสนบาท เขย่าตลาดไทยแน่นอน
เมื่อปีที่ผ่านมาตระกูล ลีนุตพงษ์ได้มีการแบ่งสมบัติของกงสีและปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ สายของ สรวิศร์-วีเชียร ลีนุตพงษ์ ยังคงดูแลกลุ่มบริษัทยนตรกิจ ที่มีแบรนด์รถยนต์ในเครือ 7 ยี่ห้อต่อไป ขณะที่ วิทิต ลีนุตพงษ์ นำบริษัทไทยยานยนต์ พร้อมกับรถโฟล์คสวาเกนมาบริหารเอง และอีกสาย พลกฤษณ์-พสุพงษ์ ลีนุตพงษ์ นำเอาแบรนด์เปอโยต์ออกมาทำตลาดเองเช่นกัน
ผ่านพ้นไปประมาณหนึ่งปี สิ่งต่างๆ เริ่มมีความชัดเจนขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการแยกดำเนินธุรกิจ หรือธุรกิจที่ขยายเพิ่มขึ้นมาของแต่ละกลุ่ม โดยเฉพาะการเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์แบรนด์ใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นจากมาเลเซีย และจีน เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับแต่ละฝ่าย และล่าสุดได้มีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เมื่อคนในตระกูลได้ถอนตัวจากบริษัท ยนตรกิจ ออโตโมบิลส์ จำกัด ผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์ เปอโยต์ ในไทย ส่วนสาเหตุของการแยกตัวครั้งนี้ มีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรหรือไม่?... พสุพงษ์ ลีนุตพงษ์ ในฐานะที่เป็นผู้แยกตัวออกมา จะให้คำตอบได้ดีที่สุด!...
"ปัจจุบันผมไม่ได้เกี่ยวข้องกับแบรนด์เปอโยต์อีกต่อไป เพราะได้ขายหุ้นในส่วนของผมให้กับพี่ชายคุณพลกฤษณ์ไปหมดแล้ว แต่ไม่ได้เกิดจากความขัดแย้งหรือมีปัญหาอะไรกัน เป็นแต่เพียงในสถานการณ์ตลาดรถยนต์เช่นนี้ สภาพเศรษฐกิจที่ไม่รู้ว่าจะชะลอตัวไปอีกนานเท่าไหร่ จึงจะกลับมาดีเหมือนเดิม ฉะนั้นการดำเนินธุรกิจที่ไม่ต้องลงทุน หรือใช้งบประมาณมาก จึงน่าจะเป็นการลดความเสี่ยงได้ดีที่สุด"
นั่นคือคำอธิบายแรกถึงเหตุผลในการถอนตัวออกจากบริษัทยนตรกิจฯ ผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์เปอโยต์ในไทย และกล่าวว่า ผมไม่ได้หมายความว่าอนาคตเปอโยต์จะไม่ดี เชื่อว่ายังไงก็ต้องไปได้ แต่สภาวะเช่นนี้ ผมอยากจะทำอะไรที่สบายใจ ไม่อยากจะแบกภาระมาก เพราะการเป็นผู้แทนจำหน่าย หรือดิสทริบิวเตอร์แบรนด์รถยนต์ยี่ห้อหนึ่งๆ จะต้องใช้เงินลงทุนและเงินหมุนเวียนเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะสต็อกรถและอะไหล่จำนวนมาก เรื่องค่าการตลาด หรือบริหารจัดการอีก และเปอโยต์ก็มีแผนขึ้นไลน์ประกอบรถบางรุ่น ซึ่งต้องมีเพิ่มเงินลงทุนอีก นี่จึงเป็นเหตุผลทำให้ผมต้องถอนตัวออกจากเปอโยต์ โดยปล่อยให้พี่ชายเป็นผู้ดูแลเปอโยต์ต่อไป
พสุพงษ์บอกว่า จริงๆ แล้วเขาอยากจะเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์โฟล์กสวาเกน เพราะสำนักงานที่ถนนรามอินทราปัจจุบัน เดิมก็ขายโฟล์กสวาเกนมาก่อน เพียงแต่ในช่วงที่ผ่านมายังไม่มีความชัดเจน เกี่ยวกับการทำธุรกิจของโฟล์กสวาเกนในไทยมาหลายปี ในช่วงดังกล่าวเลยร่วมกับพี่ชาย ดูแลแบรนด์เปอร์โยต์ไปก่อน และได้เปลี่ยนโชว์รูมโฟล์กสวาเกนรามอินทราเป็นเปอโยต์
เมื่อไม่นานโฟล์คสวาเกนจากเยอรมนี ได้มีการคุยกับคุณวิทิต(ลีนุตพงษ์) ที่ดูแลบริษัทไทยยานยนต์ในฐานะดิสทริบิวเตอร์โฟล์คสวาเกนในไทย ถึงแผนงานต่างๆ รวมถึงเป้าหมายของเขาที่จะรุกและขยายตลาดในไทย และพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ และผมได้มีโอกาสเข้าไปคุยและรับฟังแผนงานด้วย จึงยิ่งมีความเชื่อมั่นที่จะขายรถยนต์แบรนด์นี้ ที่สุดเลยตัดสินใจเป็นดีลเลอร์รถยนต์โฟล์กสวาเกน และได้เปลี่ยนโชว์รูมเปอโยต์ รามอินทรา เป็นโฟล์คสวาเกนแทน
อย่างที่บอกผมต้องการทำธุรกิจที่พอประมาณตัวเอง การเป็นดีลเลอร์ไม่ต้องแบกการลงทุนมาก ไม่ต้องสต็อกรถและอะไหล่เป็นจำนวนมาก รวมถึงงบกิจกรรมการตลาด เพราะทางไทยยานยนต์เขาดูแลอยู่แล้ว ในฐานะดิสทริบิวเตอร์ แต่ถึงอย่างนั้นดีลเลอร์ก็ต้องมีเงินหมุนเวียน 20 ล้านเป็นอย่างต่ำ ขณะที่ตัวโชว์รูมและศูนย์บริการก็มีอยู่แล้วในปัจจุบัน เพียงแต่ปรับจากเปอโยต์ให้เป็นโฟล์คสวาเกน และรูปแบบโชว์รูมให้เป็นไปตามคอนเซ็ปต์ของทางโฟล์คสวาเกนเยอรมนี ซึ่งเป็นรูปแบบใหม่หมด และจะเป็นโชว์รูมต้นแบบแห่งแรกๆ ของโฟล์กสวาเกนในไทย
หลังจากตัดสินใจเปลี่ยนมาขายโฟล์คสวาเกน พสูพงษ์บอกว่าในเชิงธุรกิจย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะขายเปอโยต์ไปด้วย ซึ่งทางบริษัทแม่เองก็ไม่ยอมอยู่แล้ว และเมื่อถามถึงความมุ่งมั่นของบริษัทแม่โฟล์กสวาเกนเยอรมนี ที่จะทำตลาดในไทย เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมายังไม่ชัดเจนในเรื่องนี้เลย
ดูง่ายๆ จากรถยนต์ 5 รุ่นใหม่ ที่บริษัทแม่ส่งมาให้ทำตลาด ซึ่งเป็นการสนับสนุนราคาอย่างมาก เช่น โฟล์คสวาเกน ซีรอคโค (Scirocco) ราคาเพียง 2.46 ล้านบาท ถือว่าไม่แพงเลยกับรถยนต์นำเข้าจากเยอรมนี และมีกำลังถึง 200 แรงม้า ซึ่งเสียภาษีนำเข้าสูงมาก หรืออย่างโฟล์คสวาเกน บีเทิ่ล ราคาเริ่มต้นแค่ 1.78 ล้านบาท การที่ทำได้ราคาได้ต่ำเช่นนี้ เพราะบริษัทแม่สนับสนุนต้องการให้แบรนด์โฟล์กสวาเกนประสบความสำเร็จในไทย
ในส่วนของการสร้างแบรนด์ รวมถึงเรื่องของโชว์รูมและศูนย์บริการ ซึ่งจะมีการนำรูปแบบใหม่ หรือที่เรียกว่า CI จากเยอรมนีมาใช้ พสุพงษ์บอกว่าเป็นการแสดงให้เห็นถึงความชัดเจน ต่อการบุกตลาดรถยนต์ไทยในครั้งนี้ เรียกว่ามีนโยบายเช่นเดียวกับบีเอ็มดับเบิลยู และเมอร์เซเดส-เบนซ์เลยทีเดียว
ระยะแรกอาจจะดูเป็นการทำตลาดระดับบน แต่นั่นคือการปูฐานแบรนด์โฟล์กสวาเกนให้แข็งแกร่ง จากนั้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้า จะเป็นช่วงเวลารุกตลาดครั้งใหญ่ในไทย ไม่แน่ว่าจะมีรถยนต์โฟล์คสวาเกนราคาประมาณ 8 แสนบาททำตลาด ซึ่งผมเชื่อว่ามีความเป็นไปได้แน่นอน เพราะโฟล์คสวาเกนกำลังดูเรื่องผลิตรถในภูมิภาคนี้ และปัจจุบันก็มีการผลิตรถยนต์อเนกประสงค์ที่อินโดนีเซียอยู่แล้ว จึงเป็นไปได้ที่จะผลิตและจำหน่ายรถภายใต้กรอบอาฟต้า(AFTA)
แต่ช่วงแรกเขาก็มีสินค้าให้เราทำตลาดต่อเนื่อง อย่างรถยนต์ใหม่ 5 รุ่น โฟล์กสวาเกน กอล์ฟ, นิว บีเทิ่ล, พาสสาท ซีซี, ทีกวน(Tiguan) และซีรอคโค (Scirocco) พร้อมกันนี้ก็มีรถตู้ คาราเวล เป็นตัวหลักเช่นเดิม ซึ่งทั้งหมดจะหล่อเลี้ยงเราในระยะแรก และปลายปีนี้ก็จะมี โฟล์กสวาเกน กอล์ฟ จีทีไอ เข้ามาทำตลาดในไทยอีกรุ่น
นั่นคือส่วนของบริษัทแม่โฟล์กสวาเกนเยอรมนี แต่บริษัทไทยยานยนต์ในฐานะผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์โฟล์คสวาเกนในไทย ได้มีการปรับเปลี่ยนแค่ไหน?... เรื่องนี้พสุงพษ์บอกว่า ไทยยานยนต์ก็มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ โดยเฉพาะรูปแบบการบริหาร ซึ่งคุณวิทิตได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนชัดเจนว่า ต่อไปนี้บรรดาลูกเสี่ย หรือคนนามสกุลลีนุตพงษ์ ให้ถอยออกไปเพียงแค่ดูภาพรวม ส่วนการบริการจัดการจะมีมืออาชีพเข้ามาทำงานแทน เช่นเดียวกับตัวเขาเองก็ติดต่อในเชิงธุรกิจเท่านั้น ไม่มีความเป็นญาติหรือนามสกุลลีนุตพงษ์เข้ามาในแง่ของการทำธุรกิจเลย
อย่างไรก็ตามเราพร้อมที่จะสนับสนุนบริษัทแม่และไทยยานยนต์เต็มที่ อย่างการทำตลาดก็อาจจะเสริมกลยุทธ์เข้าไป เพื่อให้สามารถขายได้ง่าย และตรงกับรูปแบบที่เราถนัด อย่างดีลเลอร์อื่นๆ อาจจะขายรถตู้คาราเวล หรือเก๋งซีดานรุ่นพัสสาท ซีซีได้มาก แต่เราโฟล์คสวาเกน รามอินทรา ที่เพิ่งเริ่มขายเดือนเดียว และยังไม่เปิดดำเนินงานเป็นทางการ สามารถขายรุ่นซีรอคโครถยนต์นั่งสปอร์ตรูปแบบใหม่ถึง 26 คัน ดังนั้นเชื่อว่าปีนี้น่าจะทำยอดขายรถทุกรุ่นได้ 100 คันแน่นอน โดยมีซีรอคโคเป็นตัวหลักของเรา
อาจจะเป็นเพราะเราถนัดและมีฐานลูกค้ากลุ่มนี้ และได้มีการตกแต่งเพิ่มเข้าไปให้ลูกค้า ซึ่งทุกรายที่จองต่างก็บอกให้แต่งเพิ่มอย่างนี้เหมือนกันหมด ดังนั้นเรากำลังคิดจะดึงพันธมิตรที่ทำชุดแต่งมาร่วม เพื่อเพิ่มทางเลือกและความแตกต่างให้กับลูกค้ามากขึ้น
สำหรับการเปิดตัวโชว์รูมและศูนย์บริการโฟล์คสวาเกน รามอินทรา พสุพงษ์บอกว่าจะเปิดตัวได้ในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้ พร้อมกับรถใหม่ทุกรุ่นนำเข้ามาถึงไทยพอดี จากนั้นไปก็จะมีทั้งรถยนต์รุ่นใหม่ให้ลูกค้าได้สัมผัสโดยตรง รวมถึงศูนย์บริการที่พร้อมเปิดให้บริการ ซึ่งมีจำนวนมากถึง 30 ช่องซ่อม โดยปัจจุบันกำลังรับการฝึกอบรมจากโฟล์คสวาเกนอยู่ แต่จริงๆ ช่างที่อยู่ปัจจุบันก็คุ้นเคยกับการซ่อมรถยนต์โฟล์คสวาเกนอยู่แล้ว จากเดิมที่เคยเป็นโชว์รูมและศูนย์บริการโฟล์คสวาเกนมาก่อน ขณะที่ลูกค้าเปอโยต์เก่าก็จะยังให้บริการเช่นเดิมไม่ทิ้งแน่นอน
...ฟังแล้วสาวกแบรนด์หรูจากเยอรมนี โฟล์คสวาเกนหลังจากที่ไม่แน่ใจและเฝ้ารอคอยมานาน จากนี้ไปคงจะเป็นเจ้าของรถโฟล์กสวาเกนได้อย่างมั่นใจมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในย่านรามอินทรา
เมื่อปีที่ผ่านมาตระกูล ลีนุตพงษ์ได้มีการแบ่งสมบัติของกงสีและปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ สายของ สรวิศร์-วีเชียร ลีนุตพงษ์ ยังคงดูแลกลุ่มบริษัทยนตรกิจ ที่มีแบรนด์รถยนต์ในเครือ 7 ยี่ห้อต่อไป ขณะที่ วิทิต ลีนุตพงษ์ นำบริษัทไทยยานยนต์ พร้อมกับรถโฟล์คสวาเกนมาบริหารเอง และอีกสาย พลกฤษณ์-พสุพงษ์ ลีนุตพงษ์ นำเอาแบรนด์เปอโยต์ออกมาทำตลาดเองเช่นกัน
ผ่านพ้นไปประมาณหนึ่งปี สิ่งต่างๆ เริ่มมีความชัดเจนขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการแยกดำเนินธุรกิจ หรือธุรกิจที่ขยายเพิ่มขึ้นมาของแต่ละกลุ่ม โดยเฉพาะการเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์แบรนด์ใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นจากมาเลเซีย และจีน เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับแต่ละฝ่าย และล่าสุดได้มีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เมื่อคนในตระกูลได้ถอนตัวจากบริษัท ยนตรกิจ ออโตโมบิลส์ จำกัด ผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์ เปอโยต์ ในไทย ส่วนสาเหตุของการแยกตัวครั้งนี้ มีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรหรือไม่?... พสุพงษ์ ลีนุตพงษ์ ในฐานะที่เป็นผู้แยกตัวออกมา จะให้คำตอบได้ดีที่สุด!...
"ปัจจุบันผมไม่ได้เกี่ยวข้องกับแบรนด์เปอโยต์อีกต่อไป เพราะได้ขายหุ้นในส่วนของผมให้กับพี่ชายคุณพลกฤษณ์ไปหมดแล้ว แต่ไม่ได้เกิดจากความขัดแย้งหรือมีปัญหาอะไรกัน เป็นแต่เพียงในสถานการณ์ตลาดรถยนต์เช่นนี้ สภาพเศรษฐกิจที่ไม่รู้ว่าจะชะลอตัวไปอีกนานเท่าไหร่ จึงจะกลับมาดีเหมือนเดิม ฉะนั้นการดำเนินธุรกิจที่ไม่ต้องลงทุน หรือใช้งบประมาณมาก จึงน่าจะเป็นการลดความเสี่ยงได้ดีที่สุด"
นั่นคือคำอธิบายแรกถึงเหตุผลในการถอนตัวออกจากบริษัทยนตรกิจฯ ผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์เปอโยต์ในไทย และกล่าวว่า ผมไม่ได้หมายความว่าอนาคตเปอโยต์จะไม่ดี เชื่อว่ายังไงก็ต้องไปได้ แต่สภาวะเช่นนี้ ผมอยากจะทำอะไรที่สบายใจ ไม่อยากจะแบกภาระมาก เพราะการเป็นผู้แทนจำหน่าย หรือดิสทริบิวเตอร์แบรนด์รถยนต์ยี่ห้อหนึ่งๆ จะต้องใช้เงินลงทุนและเงินหมุนเวียนเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะสต็อกรถและอะไหล่จำนวนมาก เรื่องค่าการตลาด หรือบริหารจัดการอีก และเปอโยต์ก็มีแผนขึ้นไลน์ประกอบรถบางรุ่น ซึ่งต้องมีเพิ่มเงินลงทุนอีก นี่จึงเป็นเหตุผลทำให้ผมต้องถอนตัวออกจากเปอโยต์ โดยปล่อยให้พี่ชายเป็นผู้ดูแลเปอโยต์ต่อไป
พสุพงษ์บอกว่า จริงๆ แล้วเขาอยากจะเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์โฟล์กสวาเกน เพราะสำนักงานที่ถนนรามอินทราปัจจุบัน เดิมก็ขายโฟล์กสวาเกนมาก่อน เพียงแต่ในช่วงที่ผ่านมายังไม่มีความชัดเจน เกี่ยวกับการทำธุรกิจของโฟล์กสวาเกนในไทยมาหลายปี ในช่วงดังกล่าวเลยร่วมกับพี่ชาย ดูแลแบรนด์เปอร์โยต์ไปก่อน และได้เปลี่ยนโชว์รูมโฟล์กสวาเกนรามอินทราเป็นเปอโยต์
เมื่อไม่นานโฟล์คสวาเกนจากเยอรมนี ได้มีการคุยกับคุณวิทิต(ลีนุตพงษ์) ที่ดูแลบริษัทไทยยานยนต์ในฐานะดิสทริบิวเตอร์โฟล์คสวาเกนในไทย ถึงแผนงานต่างๆ รวมถึงเป้าหมายของเขาที่จะรุกและขยายตลาดในไทย และพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ และผมได้มีโอกาสเข้าไปคุยและรับฟังแผนงานด้วย จึงยิ่งมีความเชื่อมั่นที่จะขายรถยนต์แบรนด์นี้ ที่สุดเลยตัดสินใจเป็นดีลเลอร์รถยนต์โฟล์กสวาเกน และได้เปลี่ยนโชว์รูมเปอโยต์ รามอินทรา เป็นโฟล์คสวาเกนแทน
อย่างที่บอกผมต้องการทำธุรกิจที่พอประมาณตัวเอง การเป็นดีลเลอร์ไม่ต้องแบกการลงทุนมาก ไม่ต้องสต็อกรถและอะไหล่เป็นจำนวนมาก รวมถึงงบกิจกรรมการตลาด เพราะทางไทยยานยนต์เขาดูแลอยู่แล้ว ในฐานะดิสทริบิวเตอร์ แต่ถึงอย่างนั้นดีลเลอร์ก็ต้องมีเงินหมุนเวียน 20 ล้านเป็นอย่างต่ำ ขณะที่ตัวโชว์รูมและศูนย์บริการก็มีอยู่แล้วในปัจจุบัน เพียงแต่ปรับจากเปอโยต์ให้เป็นโฟล์คสวาเกน และรูปแบบโชว์รูมให้เป็นไปตามคอนเซ็ปต์ของทางโฟล์คสวาเกนเยอรมนี ซึ่งเป็นรูปแบบใหม่หมด และจะเป็นโชว์รูมต้นแบบแห่งแรกๆ ของโฟล์กสวาเกนในไทย
หลังจากตัดสินใจเปลี่ยนมาขายโฟล์คสวาเกน พสูพงษ์บอกว่าในเชิงธุรกิจย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะขายเปอโยต์ไปด้วย ซึ่งทางบริษัทแม่เองก็ไม่ยอมอยู่แล้ว และเมื่อถามถึงความมุ่งมั่นของบริษัทแม่โฟล์กสวาเกนเยอรมนี ที่จะทำตลาดในไทย เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมายังไม่ชัดเจนในเรื่องนี้เลย
ดูง่ายๆ จากรถยนต์ 5 รุ่นใหม่ ที่บริษัทแม่ส่งมาให้ทำตลาด ซึ่งเป็นการสนับสนุนราคาอย่างมาก เช่น โฟล์คสวาเกน ซีรอคโค (Scirocco) ราคาเพียง 2.46 ล้านบาท ถือว่าไม่แพงเลยกับรถยนต์นำเข้าจากเยอรมนี และมีกำลังถึง 200 แรงม้า ซึ่งเสียภาษีนำเข้าสูงมาก หรืออย่างโฟล์คสวาเกน บีเทิ่ล ราคาเริ่มต้นแค่ 1.78 ล้านบาท การที่ทำได้ราคาได้ต่ำเช่นนี้ เพราะบริษัทแม่สนับสนุนต้องการให้แบรนด์โฟล์กสวาเกนประสบความสำเร็จในไทย
ในส่วนของการสร้างแบรนด์ รวมถึงเรื่องของโชว์รูมและศูนย์บริการ ซึ่งจะมีการนำรูปแบบใหม่ หรือที่เรียกว่า CI จากเยอรมนีมาใช้ พสุพงษ์บอกว่าเป็นการแสดงให้เห็นถึงความชัดเจน ต่อการบุกตลาดรถยนต์ไทยในครั้งนี้ เรียกว่ามีนโยบายเช่นเดียวกับบีเอ็มดับเบิลยู และเมอร์เซเดส-เบนซ์เลยทีเดียว
ระยะแรกอาจจะดูเป็นการทำตลาดระดับบน แต่นั่นคือการปูฐานแบรนด์โฟล์กสวาเกนให้แข็งแกร่ง จากนั้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้า จะเป็นช่วงเวลารุกตลาดครั้งใหญ่ในไทย ไม่แน่ว่าจะมีรถยนต์โฟล์คสวาเกนราคาประมาณ 8 แสนบาททำตลาด ซึ่งผมเชื่อว่ามีความเป็นไปได้แน่นอน เพราะโฟล์คสวาเกนกำลังดูเรื่องผลิตรถในภูมิภาคนี้ และปัจจุบันก็มีการผลิตรถยนต์อเนกประสงค์ที่อินโดนีเซียอยู่แล้ว จึงเป็นไปได้ที่จะผลิตและจำหน่ายรถภายใต้กรอบอาฟต้า(AFTA)
แต่ช่วงแรกเขาก็มีสินค้าให้เราทำตลาดต่อเนื่อง อย่างรถยนต์ใหม่ 5 รุ่น โฟล์กสวาเกน กอล์ฟ, นิว บีเทิ่ล, พาสสาท ซีซี, ทีกวน(Tiguan) และซีรอคโค (Scirocco) พร้อมกันนี้ก็มีรถตู้ คาราเวล เป็นตัวหลักเช่นเดิม ซึ่งทั้งหมดจะหล่อเลี้ยงเราในระยะแรก และปลายปีนี้ก็จะมี โฟล์กสวาเกน กอล์ฟ จีทีไอ เข้ามาทำตลาดในไทยอีกรุ่น
นั่นคือส่วนของบริษัทแม่โฟล์กสวาเกนเยอรมนี แต่บริษัทไทยยานยนต์ในฐานะผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์โฟล์คสวาเกนในไทย ได้มีการปรับเปลี่ยนแค่ไหน?... เรื่องนี้พสุงพษ์บอกว่า ไทยยานยนต์ก็มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ โดยเฉพาะรูปแบบการบริหาร ซึ่งคุณวิทิตได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนชัดเจนว่า ต่อไปนี้บรรดาลูกเสี่ย หรือคนนามสกุลลีนุตพงษ์ ให้ถอยออกไปเพียงแค่ดูภาพรวม ส่วนการบริการจัดการจะมีมืออาชีพเข้ามาทำงานแทน เช่นเดียวกับตัวเขาเองก็ติดต่อในเชิงธุรกิจเท่านั้น ไม่มีความเป็นญาติหรือนามสกุลลีนุตพงษ์เข้ามาในแง่ของการทำธุรกิจเลย
อย่างไรก็ตามเราพร้อมที่จะสนับสนุนบริษัทแม่และไทยยานยนต์เต็มที่ อย่างการทำตลาดก็อาจจะเสริมกลยุทธ์เข้าไป เพื่อให้สามารถขายได้ง่าย และตรงกับรูปแบบที่เราถนัด อย่างดีลเลอร์อื่นๆ อาจจะขายรถตู้คาราเวล หรือเก๋งซีดานรุ่นพัสสาท ซีซีได้มาก แต่เราโฟล์คสวาเกน รามอินทรา ที่เพิ่งเริ่มขายเดือนเดียว และยังไม่เปิดดำเนินงานเป็นทางการ สามารถขายรุ่นซีรอคโครถยนต์นั่งสปอร์ตรูปแบบใหม่ถึง 26 คัน ดังนั้นเชื่อว่าปีนี้น่าจะทำยอดขายรถทุกรุ่นได้ 100 คันแน่นอน โดยมีซีรอคโคเป็นตัวหลักของเรา
อาจจะเป็นเพราะเราถนัดและมีฐานลูกค้ากลุ่มนี้ และได้มีการตกแต่งเพิ่มเข้าไปให้ลูกค้า ซึ่งทุกรายที่จองต่างก็บอกให้แต่งเพิ่มอย่างนี้เหมือนกันหมด ดังนั้นเรากำลังคิดจะดึงพันธมิตรที่ทำชุดแต่งมาร่วม เพื่อเพิ่มทางเลือกและความแตกต่างให้กับลูกค้ามากขึ้น
สำหรับการเปิดตัวโชว์รูมและศูนย์บริการโฟล์คสวาเกน รามอินทรา พสุพงษ์บอกว่าจะเปิดตัวได้ในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้ พร้อมกับรถใหม่ทุกรุ่นนำเข้ามาถึงไทยพอดี จากนั้นไปก็จะมีทั้งรถยนต์รุ่นใหม่ให้ลูกค้าได้สัมผัสโดยตรง รวมถึงศูนย์บริการที่พร้อมเปิดให้บริการ ซึ่งมีจำนวนมากถึง 30 ช่องซ่อม โดยปัจจุบันกำลังรับการฝึกอบรมจากโฟล์คสวาเกนอยู่ แต่จริงๆ ช่างที่อยู่ปัจจุบันก็คุ้นเคยกับการซ่อมรถยนต์โฟล์คสวาเกนอยู่แล้ว จากเดิมที่เคยเป็นโชว์รูมและศูนย์บริการโฟล์คสวาเกนมาก่อน ขณะที่ลูกค้าเปอโยต์เก่าก็จะยังให้บริการเช่นเดิมไม่ทิ้งแน่นอน
...ฟังแล้วสาวกแบรนด์หรูจากเยอรมนี โฟล์คสวาเกนหลังจากที่ไม่แน่ใจและเฝ้ารอคอยมานาน จากนี้ไปคงจะเป็นเจ้าของรถโฟล์กสวาเกนได้อย่างมั่นใจมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในย่านรามอินทรา