อีกครั้งที่งานประกวดรถยนต์โบราณรายการดังอย่าง Pebble Beach Concourse d'Elegance ในสหรัฐอเมริกากลายเป็นเวทีสำคัญสำหรับผู้ผลิตรถยนต์ระดับหรูในการนำ ‘ของใหม่’ มาเปิดตัว ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร เนื่องจากคนที่เดินขวักไขว่กันอยู่ในงานนี้ คือ กลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงที่มีเงินถุงเงินถัง และส่วนใหญ่ก็มักจะนำรถยนต์คลาสสิคในคอลเล็กชันของตัวเองมาประกวดประชันกันบนเวทีนี้

ระหว่างวันที่ 14-17 สิงหาคมนี้ ‘ของใหม่’ แกะกล่องที่ถือเป็นไฮไลต์เด่นประจำงานในปีนี้ คือ การเปิดตัวเวอร์ชันเปิดหลังคาของสุดยอดซูเปอร์คาร์รุ่นเวย์รอนของค่ายบูกัตตี้ บริษัทในเครือโฟล์คสวาเกน ซึ่งถือเป็นการอวดโฉมครั้งแรกของโลก และเป็นตัวถังที่ 2 ของเวย์รอนนับจากประเดิมตลาดด้วยรุ่นคูเป้มาตั้งแต่ปี 2005 แต่ถ้ารวมทุกเวอร์ชันย่อยที่มีขายแล้ว แกรนด์ สปอร์ตจะเป็นรุ่นที่ 4 ต่อจากคูเป้ (2005), Pur Sang (2007) ในแบบทูโทน และ Fbg Par Hermes (2008) ที่ได้รับการออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกจากบริษัทผลิตเครื่องแต่งกายและเครื่อง ประดับชื่อดัง
เวย์รอนรุ่นนี้จะมากับชื่อต่อท้ายว่าแกรนด์ สปอร์ต (Grand Sport) ซึ่งเหตุผลที่บูกัตตี้เลี่ยงใช้คำว่าโรดสเตอร์ หรือคอนเวอร์ติเบิล อาจจะเป็นเพราะคำนี้ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในตลาด และที่สำคัญจะว่าไปแล้วตัวรถก็ไม่ได้มีลักษณะอยู่ในขอบข่ายนิยามของทั้ง 2 คำนี้สักเท่าไร
เพราะตัวรถจริงๆ ใช้ระบบรับลมเย็นในลักษณะคล้ายกับพวกรุ่น T-Bar อย่างฮอนด้า เอ็นเอสเอ็กซ์ หรือโตโยต้า ซูปรา คือ ถอดออกเฉพาะแผ่นหลังคาตรงกลาง หรือ Removable Roof เท่านั้น และไม่ได้มีชุดหลังคาอ่อนแบบพับเก็บได้ซ่อนอยู่ด้านท้ายเหมือนกับพวกโรดสเตอร์ หรือรถยนต์เปิดประทุนทั่วไป ซึ่งหลังคาแข็งของแกรนด์ สปอร์ตได้รับการผลิตด้วยวัสดุที่มีน้ำหนักเบา สามารถถอดออกอย่างง่ายดาย
แม้ว่าการพัฒนาจะอยู่บนพื้นฐานเดียวกับรุ่นคูเป้ แต่งานนี้ไม่ได้เป็นแค่การถอดหลังคาออกเท่านั้น ซึ่งโครงสร้างตัวถังโดยรวมยังจะต้องได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่เพื่อให้มีความแข็งแกร่งกว่ารุ่นคูเป้สำหรับรองรับทั้งการบิดตัวในจังหวะเข้าโค้ง หรือการกดคันเร่งหนักๆ เพื่อรีดกำลังในระดับเกิน 1,000 แรงม้าออกมา รวมถึงยังจะต้องให้ความปลอดภัยในกรณีที่เกิดการพลิกคว่ำ

รายละเอียดโดยรวมไม่แตกต่างจากคูเป้ทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและภายใน และก็รวมถึงเครื่องยนต์บล็อกใหม่อันเลื่องชื่อ ซึ่งเป็นแบบ W16 ทวินแคม 64 วาล์ว 8,000 ซีซี พร้อมเทอร์โบ 4 ตัวในการอัดอากาศ ซึ่งสเปกของรุ่นแกรนด์ สปอร์ตไม่แตกต่างจากคูเป้ มีกำลังสูงสุด 1,001 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 127.5 กก.-ม. ที่ 2,200-5,500 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ DSG แบบ 7 จังหวะที่ได้รับการพัฒนาโดย Ricardo ประเทศอังกฤษ สู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา
ในด้านสมรรถนะแม้ว่าจะยังไม่มีการเปิดเผย แต่ตัวเลขที่ได้คงจะใกล้เคียงกับที่รุ่นคูเป้ทำได้ ซึ่งมีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 2.5 วินาที ตามด้วย 7.3 วินาทีสำหรับ 0-200 และ 16.7 วินาทีสำหรับ 0-300 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยที่ความเร็วปลายอยู่ที่ 407 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยใช้ยางรุ่นใหม่แบบไฮ เพอร์ฟอร์แมนซ์ที่มีระบบ Pax System หรือยังแล่นต่อได้อีกพอสมควรแม้ว่ายางจะแบนของมิชลิน
ค่าตัวของเวย์รอน แกรนด์ สปอร์ตคาดว่าจะอยู่ที่ 1.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 42.9 ล้านบาท โดยการผลิตและส่งมอบให้กับลูกค้าจะเริ่มขึ้นต้นปี 2009 ส่วนจำนวนการผลิตไม่มีการเปิดเผย แต่แหล่งข่าวภายในของบูกัตตี้บอกว่าไม่น่าจะเกิน 80 คัน และไม่ระบุว่าจะนับรวมกับรุ่นคูเป้ซึ่งมีการประกาศว่าจะผลิตออกมาขายเพียงแค่ 300 คันตลอดอายุตลาดหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ข่าวดีสำหรับคนที่อยากได้อะไรที่พิเศษกว่าใคร ในงานโชว์นี้จะมีวันสำหรับประมูลรถที่เรียกว่า Gooding Auction และบูกัตตี้ได้ส่งแกรนด์ สปอร์ตคันแรกจากไลน์ผลิตเข้าประมูลด้วย คาดว่าบรรดาเศรษฐีคงจะยกมือสู้กันสุดใจขาดดิ้นอย่างแน่นอน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วราคาจะไปจบลงที่เท่าไร แต่เชื่อว่าน่าจะสูงกว่าราคาขายหน้าโชว์รูมสัก 2-3 เท่าตัว
ระหว่างวันที่ 14-17 สิงหาคมนี้ ‘ของใหม่’ แกะกล่องที่ถือเป็นไฮไลต์เด่นประจำงานในปีนี้ คือ การเปิดตัวเวอร์ชันเปิดหลังคาของสุดยอดซูเปอร์คาร์รุ่นเวย์รอนของค่ายบูกัตตี้ บริษัทในเครือโฟล์คสวาเกน ซึ่งถือเป็นการอวดโฉมครั้งแรกของโลก และเป็นตัวถังที่ 2 ของเวย์รอนนับจากประเดิมตลาดด้วยรุ่นคูเป้มาตั้งแต่ปี 2005 แต่ถ้ารวมทุกเวอร์ชันย่อยที่มีขายแล้ว แกรนด์ สปอร์ตจะเป็นรุ่นที่ 4 ต่อจากคูเป้ (2005), Pur Sang (2007) ในแบบทูโทน และ Fbg Par Hermes (2008) ที่ได้รับการออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกจากบริษัทผลิตเครื่องแต่งกายและเครื่อง ประดับชื่อดัง
เวย์รอนรุ่นนี้จะมากับชื่อต่อท้ายว่าแกรนด์ สปอร์ต (Grand Sport) ซึ่งเหตุผลที่บูกัตตี้เลี่ยงใช้คำว่าโรดสเตอร์ หรือคอนเวอร์ติเบิล อาจจะเป็นเพราะคำนี้ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในตลาด และที่สำคัญจะว่าไปแล้วตัวรถก็ไม่ได้มีลักษณะอยู่ในขอบข่ายนิยามของทั้ง 2 คำนี้สักเท่าไร
เพราะตัวรถจริงๆ ใช้ระบบรับลมเย็นในลักษณะคล้ายกับพวกรุ่น T-Bar อย่างฮอนด้า เอ็นเอสเอ็กซ์ หรือโตโยต้า ซูปรา คือ ถอดออกเฉพาะแผ่นหลังคาตรงกลาง หรือ Removable Roof เท่านั้น และไม่ได้มีชุดหลังคาอ่อนแบบพับเก็บได้ซ่อนอยู่ด้านท้ายเหมือนกับพวกโรดสเตอร์ หรือรถยนต์เปิดประทุนทั่วไป ซึ่งหลังคาแข็งของแกรนด์ สปอร์ตได้รับการผลิตด้วยวัสดุที่มีน้ำหนักเบา สามารถถอดออกอย่างง่ายดาย
แม้ว่าการพัฒนาจะอยู่บนพื้นฐานเดียวกับรุ่นคูเป้ แต่งานนี้ไม่ได้เป็นแค่การถอดหลังคาออกเท่านั้น ซึ่งโครงสร้างตัวถังโดยรวมยังจะต้องได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่เพื่อให้มีความแข็งแกร่งกว่ารุ่นคูเป้สำหรับรองรับทั้งการบิดตัวในจังหวะเข้าโค้ง หรือการกดคันเร่งหนักๆ เพื่อรีดกำลังในระดับเกิน 1,000 แรงม้าออกมา รวมถึงยังจะต้องให้ความปลอดภัยในกรณีที่เกิดการพลิกคว่ำ
รายละเอียดโดยรวมไม่แตกต่างจากคูเป้ทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและภายใน และก็รวมถึงเครื่องยนต์บล็อกใหม่อันเลื่องชื่อ ซึ่งเป็นแบบ W16 ทวินแคม 64 วาล์ว 8,000 ซีซี พร้อมเทอร์โบ 4 ตัวในการอัดอากาศ ซึ่งสเปกของรุ่นแกรนด์ สปอร์ตไม่แตกต่างจากคูเป้ มีกำลังสูงสุด 1,001 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 127.5 กก.-ม. ที่ 2,200-5,500 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ DSG แบบ 7 จังหวะที่ได้รับการพัฒนาโดย Ricardo ประเทศอังกฤษ สู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา
ในด้านสมรรถนะแม้ว่าจะยังไม่มีการเปิดเผย แต่ตัวเลขที่ได้คงจะใกล้เคียงกับที่รุ่นคูเป้ทำได้ ซึ่งมีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 2.5 วินาที ตามด้วย 7.3 วินาทีสำหรับ 0-200 และ 16.7 วินาทีสำหรับ 0-300 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยที่ความเร็วปลายอยู่ที่ 407 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยใช้ยางรุ่นใหม่แบบไฮ เพอร์ฟอร์แมนซ์ที่มีระบบ Pax System หรือยังแล่นต่อได้อีกพอสมควรแม้ว่ายางจะแบนของมิชลิน
ค่าตัวของเวย์รอน แกรนด์ สปอร์ตคาดว่าจะอยู่ที่ 1.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 42.9 ล้านบาท โดยการผลิตและส่งมอบให้กับลูกค้าจะเริ่มขึ้นต้นปี 2009 ส่วนจำนวนการผลิตไม่มีการเปิดเผย แต่แหล่งข่าวภายในของบูกัตตี้บอกว่าไม่น่าจะเกิน 80 คัน และไม่ระบุว่าจะนับรวมกับรุ่นคูเป้ซึ่งมีการประกาศว่าจะผลิตออกมาขายเพียงแค่ 300 คันตลอดอายุตลาดหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ข่าวดีสำหรับคนที่อยากได้อะไรที่พิเศษกว่าใคร ในงานโชว์นี้จะมีวันสำหรับประมูลรถที่เรียกว่า Gooding Auction และบูกัตตี้ได้ส่งแกรนด์ สปอร์ตคันแรกจากไลน์ผลิตเข้าประมูลด้วย คาดว่าบรรดาเศรษฐีคงจะยกมือสู้กันสุดใจขาดดิ้นอย่างแน่นอน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วราคาจะไปจบลงที่เท่าไร แต่เชื่อว่าน่าจะสูงกว่าราคาขายหน้าโชว์รูมสัก 2-3 เท่าตัว