หลังการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเมืองไทย เมื่อช่วงปลายปี 2007 ที่ผ่านมา ฮอนด้า แอคคอร์ด ใหม่ ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดีจากสาวกฮอนด้า โดยมีรุ่นขนาดเครื่องยนต์ 2.4 ลิตรเป็นตัวชูโรงในการทำตลาด รวมถึงการเป็นรถยนต์รุ่นแรกๆ ของตลาดรถเมืองไทยที่รองรับเชื้อเพลิงชนิด E20 ได้ และหลังจากอัตราภาษีมีผลบังคับใช้ ทำให้ราคาขายของแอคคอร์ดถูกลงจากตอนเปิดตัวหลายหมื่นบาท ช่วยลูกค้าตัดสินใจง่ายขึ้น
เหนืออื่นใดส่งผลต่อคู่แข่งสำคัญ โตโยต้า คัมรี่ ในฐานะจ้าวตลาดรถซีดานขนาดกลางของบ้านเราออกอาการหนาวๆ ร้อนๆ จนต้องเร่งปรับปรุงเครื่องยนต์ให้สามารถรองรับเชื้อเพลิงชนิด E20ได้ ออกมาจำหน่ายอย่างรวดเร็ว เพื่อหวังสิทธิทางภาษีอันจะทำให้ราคาขายลดต่ำลงเช่นเดียวกัน
และไม่ว่าผลของยอดขายจะเป็นเช่นไร ผู้บริโภคอย่างเราก็มีแต่ได้กับได้จากการซื้อรถในราคาถูกลง นอกเหนือจากการทำตลาดแข่งขันกันในรุ่นเครื่องยนต์ 2.4 ลิตรแล้ว ทั้งคู่ยังมีรุ่นเครื่องยนต์ขนาด 3.5 ลิตรออกมาเป็นทางเลือก เพื่อชูเทคโนโลยีโดยไม่คาดหวังยอดขายเป็นกอบเป็นกำ
ทั้งนี้ ผู้จัดการมอเตอริ่ง เคยนำเสนอบททดสอบของทุกรุ่นที่กล่าวมา ไม่ว่าจะเป็นโตโยต้า คัมรี่ และฮอนด้าแอคคอร์ด ตัว 2.4 และ 3.5 ลิตรไปแล้ว มากบ้างน้อยบ้าง แต่ในส่วนของ ฮอนด้า แอคคอร์ด รุ่น 3.5 ลิตร เราเคยเอ่ยถึงเทคโนโลยีและความชอบหลังการได้ทดลองขับเมื่อคราวไปญี่ปุ่นเพียงเล็กน้อย โดยครั้งนั้นเป็นแอคคอร์ดสเปคที่ผลิตและจำหน่ายในอเมริกา
ฉะนั้นเมื่อสบโอกาสได้ทดลองขับ แอคคอร์ด ตัว 3.5 ลิตรของเวอร์ชั่นประเทศไทยอีกหน เราจึงไม่พลาดการนำเสนอ โดยเราควบเจ้าแอคคอร์ดแบบเต็มๆ บนเส้นทาง กรุงเทพฯ - เชียงใหม่ ทั้งไปและกลับ รวมระยะทางทั้งสิ้นกว่า 1,600 กม.
สำหรับความแตกต่างของรุ่น 3.5 ลิตรและรุ่น 2.4 ลิตรที่เราจะสามารถสัมผัสได้จากการมองเห็นภายนอก จุดแรกคือ ด้านท้ายรถซึ่งมีตัวหนังสือระบุรุ่น 3.5 V6 แปะอยู่ กับปลายท่อไอเสีย 2 ท่อซ้ายขวา และจุดสุดท้าย หลังคาซันรูฟแก้ว นอกนั้นไม่แตกต่าง
ส่วนภายใน เต็มอิ่มกับระบบนำทาง(Navigation System) ซึ่งใช้งานง่าย พร้อมฮาร์ดดิสก์บันทึกข้อมูลขนาดใหญ่ถึง 40 GB เก็บเพลงจากซีดีมาลงอย่างจุใจและช่องเสียบ USB รองรับครบทุกความต้องการ เบาะนั่งปรับไฟฟ้าด้านผู้ขับเมมโมรี่ได้ 2 ตำแหน่ง
เครื่องยนต์ขนาด 3.5 ลิตร แบบวี6 SOHC i-VTEC ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ แรงสุดตั้งแต่ผลิตแอคคอร์ดออกจำหน่าย ให้กำลังสูงสุด 275 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 34.6 กก.-ม. ที่ 5,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ พร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัยระบบ VCM (Variable Cylinder Management)
ซึ่งระบบ VCM หรือเรียกว่า กระบอกสูบแปรผัน ถือเป็นจุดเด่นที่สุดของเจ้าแอคคอร์ดตัว 3.5 ลิตร จุดประสงค์เพื่อช่วยด้านการประหยัดน้ำมันโดยระบบนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่องวาล์วในศูนย์วิจัยฮอนด้า ที่ถูกหยิบมาใช้
หลักการทำงานคือ เริ่มจากเมื่อรถวิ่งด้วยความเร็วคงที่ ประมาณ 40-90 กม./ชม. อีซียูจะสั่งให้หัวฉีดหยุดจ่ายน้ำมันให้กับกระบอกสูบจำนวน 3 สูบ หมายความว่าเครื่องยนต์จะทำงานเพียง 3 สูบ ส่วนอีก 3 สูบที่เหลือจะวิ่งตัวเปล่าโดยไม่มีการจุดระเบิด
ส่วนถ้าเป็นในจังหวะเร่งเครื่องหรือขึ้นเนิน บางครั้งระบบจะสั่งการให้ทำงานแบบ 4 สูบหรือ 6 สูบขึ้นกับความต้องการกำลังในขณะนั้นๆ ซึ่งหลักการทำงานจะคล้ายกับ ซีวิค ไฮบริด รุ่นปี 2004 แต่ไม่เหมือนกัน โดยเราอาจจะรู้ได้บ้างว่าระบบทำงานเมื่อไฟสัญลักษณ์สีเขียวของอักษร ECO ติดขึ้น หมายถึงว่า เราขับรถด้วยความเร็วที่ประหยัดสุดในขณะนั้น และทั้งหมดมีอีซียูเป็นผู้สั่งการโดยอัตโนมัติ เราไม่สามารถกำหนดเองได้
สำหรับลูกสูบที่หยุด 3 สูบจะเป็น 3 สูบหลัง คือสูบที่หันมาทางด้านหลังรถ ส่วนแบบ 4 สูบ จะแบ่งการทำงานสลับเป็น 2 สูบหน้าและ 2 สูบหลัง ในลักษณะไขว้กัน ทั้งหมดนี้จะไม่มีการเปลี่ยนหรือสลับตำแหน่งสูบที่ถูกกำหนดให้ทำงาน
ซึ่งวิศวกรของฮอนด้าเคยบอกเราไว้ว่า การสึกหรอจะไม่ต่างกันทั้ง 6 สูบ เนื่องจากลูกสูบทั้งหมดยังคงวิ่งขึ้น-ลง เหมือนปกติ แม้การจุดระเบิดจะมากน้อยต่างกันระหว่าง 3 สูบหน้ากับ 3 สูบหลัง ดังนั้นการสึกหรอจึงยังคงมีอยู่ใกล้เคียงกัน
ในด้านของการเดินทางเราออกจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าโดยใช้เส้นทางพหลโยธิน มุ่งเข้าสู่ถนนสายเอเชียที่ขยายเป็น 4 เลนเรียบร้อยแล้ว ความเร็วในช่วงนี้ส่วนใหญ่วิ่งประมาณ 140-160 กม./ชม. มีไฟ ECO ติดขึ้นบ้างบางครั้งเมื่อผ่อนคันเร่งหรือขับไม่เกิน 100 กม./ชม. ขณะที่บางช่วงเราเหยียบเกือบ 200 กม./ชม. เนื่องจากถนนโล่งและเรียบดีตลอดเส้นทาง
โดยเจ้าแอคคอร์ดยังคงความนุ่มและการเกาะถนนที่ดีเอาไว้ สร้างความอุ่นใจให้กับคนขับและผู้โดยสาร แม้จะไม่เท่ากับรถยนต์ซีดานขนาดกลางแบรนด์ยุโรปปัจจุบัน แต่ก็ถือว่าดีขึ้นกว่ารุ่นเดิม และดีกว่ารถยุโรปรุ่นเก่าบางยี่ห้ออย่างแน่นอน
ที่สำคัญไม่มีเสียงบ่นเรื่องความแข็งหรือกระเด้งออกมาจากปากผู้โดยสารที่นั่งอยู่เบาะด้านหลังตลอดเส้นทาง แต่จะมีบ้างในเรื่องของการนั่งไม่สบายเมื่อต้องนั่งเป็นเวลานานเนื่องจากรูปทรงของเบาะไม่รับกับสรีระ ส่วนเบาะผู้ขับนั่งสบายดี แม้ต้องขับต่อเนื่องเป็นเวลานานกว่า 3 ชั่วโมง
ด้านอัตราเร่ง จังหวะแซง สบายใจหายห่วงทุกช่วงความเร็วจากพละกำลัง 275 แรงม้า ทำให้ทุกครั้งที่เราคิกดาวน์หรือเปลี่ยนเกียร์ลงเรียกรอบกระทันหัน แรงดึงหลังติดเบาะแบบนิดๆ หน่อยๆ จะมีให้รู้สึกเสมอ เป็นอาการดึงแบบผู้ดีของรถซีดานไม่กระโชกโฮกฮากเหมือนรถสปอร์ต
ส่วนเรื่องการเบรก ต้องบอกว่า เอาอยู่ทุกย่านความเร็ว แม้คันที่เราขับจะมีปัญหาเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องของระบบเบรก คือเมื่อเราเบรกหนักที่ความเร็วสูงจะมีเสียงดังผิดปกติให้ได้ยิน และเมื่อเราลงไปตรวจสอบพบว่า ยางรถยนต์มีร่องรอยของการนำรถไปขับไปสไลด์หรือพยายามจะดริฟท์มาอย่างแน่นอน
ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่ระบบเบรกจะถูกใช้งานอย่างหนักมาก่อนหน้าเราจนเบรกเฟด และผ้าเบรคอาจจะเสื่อมสภาพการใช้งานลง จนเป็นผลให้เราไม่สามารถหยุดรถอย่างเรียบเนียนเหมือนเมื่อครั้งทดสอบเจ้าแอคคอร์ดตัว 2.4 ลิตร ทว่าถ้าไม่ใช่การเบรกบนความเร็วสูงก็จะไม่รู้สึกผิดปกติอะไร
ด้านการเก็บเสียงตัว 3.5 ทำได้ดีไม่แพ้รุ่น 2.4 ลิตร เสียงลมรบกวนบ้างเมื่อวิ่งเร็วเกิน 140 กม./ชม. เสียงเครื่องยนต์มีดังรบกวนน้อย เว้นแต่เฉพาะจังหวะกดคันเร่งคิกดาวน์ ที่ได้ยินดังหน่อย ส่วนการติดเครื่องยนต์ไว้แม้จะยืนอยู่ภายนอกรถได้ยินเสียงเครื่องทำงานดังเพียงเล็กน้อย
ซึ่งต้องขอบคุณระบบยางแท่นเครื่องแบบใหม่ ACM และระบบควบคุมเสียงรบกวนภายในห้องโดยสาร ANC ซึ่งทำหน้าที่ช่วยลดแรงสั่นสะเทือนที่มาจากเครื่องยนต์และการทำงานของระบบ VCM โดยมีเซ็นเซอร์และอีซียูคอยควบคุมและสั่งการ
ตลอดเส้นทางทั้งขาไปและขากลับ เราใช้ความเร็วส่วนใหญ่มากกว่า 120 กม./ชม. ทำให้โดนตำรวจเรียกจับไปตามระเบียบ ส่งผลต่อความเร็วเหลือเพียง 90-100 กม. ตามที่กฏหมายกำหนด แต่สุดท้ายวิ่งได้เพียงไม่กี่อึดใจ เรากลับมาขับแบบเพลินๆ ด้วยความเร็วคงที่ 140 กม./ชม.อีกแล้ว (ก็รถมันแรง แถมถนนดันว่าง)
สำหรับน้ำมันที่เราเติมเป็นบางจาก แก๊สโซฮอล์ 91 ตามสเปคที่ฮอนด้าการันตีว่าสามารถใช้ได้ ส่วนเชื้อเพลิงชนิด E20 อดทดลอง เนื่องจากไม่เจอปั๊มที่มีน้ำมัน E20ขาย โดยเราเติมน้ำมันทั้งสิ้น 3 ครั้ง รวมกันประมาณ 170 ลิตร เสียเงินค่าน้ำมันราว 5,000 กว่าบาท วิ่งรวมระยะทางประมาณ 1,600 กม.
หารค่าเฉลี่ยอัตราความสิ้นเปลืองออกมาจะอยู่ประมาณ 9.4 กม./ลิตร กับการเดินทางระยะไกล ด้วยการขับเต็มสปีดและบรรทุกเต็มความจุคือ 4 คน ผู้โดยสารรวมผู้ขับ ต้องถือว่า เป็นที่น่าพอใจกับเครื่องยนต์ใหญ่ขนาด 3.5 ลิตร เช่นนี้
สรุป แม้โดยรวมเราจะค่อนข้างประทับใจกับสมรรถนะของเจ้าฮอนด้า 3.5 ลิตร แต่ทว่าเมื่อหันมามองค่าตัว 2.88 ล้านบาท หรือหากเป็นสีขาวจะราคา 2.89 ล้านบาท คงต้องกลับไปทบทวนและรวบรวมความกล้า(ทนฟังเสียงจากคนรอบข้าง) เนื่องจากด้วยเม็ดเงินขนาดนี้ เราสามารถเลือกคบหากับรถคอมแพคซีดานของค่ายยุโรปได้อย่างสบายๆ